หนังสือ งอกงามความรักเรียน (Student Engagement) เล่มนี้ มอง student engagement เป็นกิจกรรมของหุ้นส่วน (partnership) ระหว่างครู (โรงเรียน) กับนักเรียน ความเข้มแข็งของพฤติกรรมผูกพันต่อการเรียนของนักเรียน (student engagement) เกิดจากหุ้นส่วนทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายครู (และโรงเรียน) กับฝ่ายนักเรียน ซึ่งหมายความว่า หากเกิดกรณีปัญหานักเรียนบางคนไม่สนใจเรียน (student disengagement) ขึ้น ต้องหาสาเหตุจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่มองว่าเป็นปัญหาของนักเรียนเพียงฝ่ายเดียว
มุมมองเช่นนี้ แตกต่างจากวัฒนธรรมของวงการศึกษาไทยอย่างสิ้นเชิง
วงการศึกษาไทยมองว่าครูเป็นฝ่ายให้ นักเรียนเป็นฝ่ายรับ ไม่ใช่เป็นหุ้นส่วนกัน อย่างที่เสนอในหนังสือเล่มนี้
วงการศึกษาไทยมองว่าครูเป็นผู้มีสถานะเหนือนักเรียน ไม่ใช่เป็นหุ้นส่วนที่ต้องเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตามที่เสนอในหนังสือเล่มนี้
ท่านผู้อ่านพึงตระหนักในจินตนาการใหม่ ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน ที่หนังสือ งอกงามความรักเรียน (Student Engagement) เล่มนี้เสนออย่างมีข้อมูลหลักฐานจากงานวิจัยสนับสนุน โดยผมตีความมาจากหนังสือ Reimagining Student Engagement
บทที่ ๓ นี้ ตีความจากหนังสือ Reimagining Student Engagement : From Disrupting to Driving. Chapter 2 Engagement as Partnership
ในสภาพปัจจุบัน ครูตกอยู่ในฐานะถูกบีบโดยหน่วยเหนือ ให้ออกแบบการเรียนรู้ตามที่หน่วยเหนือกำหนด เมื่อออกแบบแล้วก็โดนนักเรียนบีบ โดยตั้งใจเรียนบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง สภาพเช่นนี้ ไม่ก่อผลดีทั้งต่อครู และต่อนักเรียน และที่สำคัญที่สุด เป็นรากเหง้าของความอ่อนแอของระบบการศึกษาไทย
ความผิดพลาดอยู่ที่การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนที่ไม่ถูกต้อง คือกำหนดให้ครูเป็นผู้ให้บริการ (provider) นักเรียนเป็นผู้รับบริการ (customer)
Engagement ในฐานะพื้นที่หุ้นส่วน
ความอ่อนแอของระบบการศึกษา อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างครูหรือผู้ใหญ่ ที่กระทำต่อนักเรียนหรือเด็ก ในลักษณะที่ทำให้นักเรียนรู้สึกว่า การศึกษาคือสิ่งที่ตนถูกกระทำ โดยผู้ใหญ่ที่ไม่มีความสุขจากการกระทำนั้น และหากจะให้นักเรียนรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่ง ตนควรเป็นที่รู้จักและมีตัวตนต่อผู้ใหญ่โดยรอบ ที่อ้างว่าเข้ามาช่วยให้ตนประสบความสำเร็จ
นั่นคือ นักเรียนต้องการการศึกษาที่มีมิติของความเป็นมนุษย์ (gotoknow.org/posts/721587)
พื้นที่หุ้นส่วน (engagement) ไม่ควรเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายหนึ่งชนะ อีกฝ่ายหนึ่งแพ้ หรือเป็นพื้นที่ที่มีความสูญเสียเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย แต่ควรเป็นพื้นที่ที่ทุกฝ่ายชนะ หรือได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมาย
Student engagement แบบที่ครูใช้วิธีการควบคุมหรือบังคับกิจกรรมการเรียนรู้ ผลที่ได้คือ มีนักเรียนเพียงส่วนน้อยที่อยู่ในระดับสูงๆ ในตาราง student engagement continuum ซึ่งอย่างสูงก็บรรลุในระดับ เข้าร่วม (participating) ไปไม่ถึงระดับ ขับเคลื่อน (driving) ที่เป็นระดับที่เราต้องการให้นักเรียนไปถึง เพราะการบังคับมีผลลดทอนแรงจูงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation) ที่นักเรียนมีอยู่ตามธรรมชาติ จะเหือดแห้งหายไป โดยบรรยากาศของการบีบบังคับ
บรรยากาศชั้นเรียนที่นักเรียนผูกพันต่อการเรียน
ผู้สังเกตชั้นเรียนแบบนี้จะสัมผัสพลัง (energy) ที่อบอวลอยู่ในชั้นเรียน นักเรียนมีแววตาท่าทางพฤติกรรมที่บอกความกระตือรือร้นต่อกิจกรรมที่กำลังเกิดขึ้น คำพูดคุย คำอุทาน สะท้อนสภาพ “เอ๊ะ ... อ๋อ” ในกลุ่มนักเรียน เราจะเห็นภาพที่นักเรียนสุมหัวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดีย หรือแผนงานข้างหน้าต่อกัน เห็นสภาพที่ทีมงานแบ่งงานกันทำ และปรึกษาหารือกัน เป็นสภาพที่ครูสอนน้อย ศิษย์เรียนรู้มาก (Teach less, Learn more)
บทบาทของครูต่อสภาพที่กลุ่มนักเรียนจดจ่อต่อการเรียน
มีความเข้าใจผิดว่า ในสภาพเช่นนี้ ครูไม่ต้องทำอะไร เป็นช่วงพักผ่อนของครู ในความเป็นจริง ครูต้องเข้าไปกระตุ้นแรงบันดาลใจ และการเรียนรู้ระดับลึกและเชื่อมโยง โดยตั้งคำถามกระตุ้นการสะท้อนคิดสู่การเรียนรู้หลักการหรือทฤษฎี ตาม Kolb’s Experiential Learning Cycle (gotoknow.org/posts/713644) และตาม การเรียนรู้ ‘ขั้นสูง’ จากประสบการณ์ (https://www.roong-aroon.ac.th/?p=13290) รวมทั้งคอยทำหน้าที่ให้ constructive feedback ต่อความก้าวหน้า และผลงานของนักเรียน (gotoknow.org/posts/tags/dylan_Wiliam) เพื่อกระตุ้นหรือท้าทายให้นักเรียนสร้างผลงานที่ดียิ่งขึ้น สู่การเรียนรู้ขั้นสูง (mastery learning)
ครูนำอะไรสู่พื้นที่หุ้นส่วน
เป้าหมายสำคัญคือ หนุนให้ student engagement สูง พัฒนาสู่ระดับขับเคลื่อน (driving) บทบาทสำคัญของครูคือ ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่หนุนให้นักเรียนจดจ่อต่อการเรียนในระดับสูง หาทางหนุนให้พลังแรงจูงใจของนักเรียนออกมากระทำการ หนุนให้นักเรียนเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) ต่อการเรียนรู้ มีความเป็นผู้ริเริ่มกระทำการ (agency) หรือผู้ก่อการ ร่วมมือกับนักเรียนทุกคนในการหนุนให้นักเรียนผูกพันต่อการเรียน และสร้างวัฒนธรรมผูกพันต่อการเรียน (engagement culture)
ออกแบบการเรียนรู้ที่หนุน student engagement
หลักการคือต้องออกแบบการเรียนรู้ที่ฝึกให้นักเรียนใช้ทักษะการเรียนรู้ที่ใช้ใน student engagement continuum ระดับ ๖ - ขับเคลื่อน (driving) ได้แก่ ทักษะการตั้งเป้าที่ท้าทาย เพื่อการเรียนรู้ระดับสูงและเชื่อมโยงของตน คือนักเรียนต้องไม่เพียงลงมือทำ (พฤติกรรมเชิงรุก) เท่านั้น แต่ต้องรุกอย่างมีเป้าหมาย (ที่เหมาะสมและท้าทาย) มีกลยุทธเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น และเมื่อบรรลุ ครูก็ช่วยแนะนำเป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนการเรียนรู้จากระดับต่ำ สู่ระดับสูง และระดับเชื่อมโยง ที่เป็นการเรียนรู้ระดับรู้จริง (mastery learning)
กระตุ้นแรงจูงใจภายในของนักเรียน
นักจิตวิทยาการศึกษาบอกว่ามีปัจจัยด้านจิตใจ ๓ ประการที่จะช่วยหนุนพื้นฐานความตั้งใจเรียน และการมีความสุขกับการเรียน ได้แก่ (๑) ความเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) (๒) ความรู้สึกว่าตนเองมีสมรรถนะ (competence) หรือความสามารถ และ (๓) ความสัมพันธ์หรือเป็นพวกพ้องกับเพื่อนๆ และครู (relatedness) เมื่อนักเรียนมาโรงเรียน พื้นฐานทางใจ ๓ ประการนี้อาจได้รับการเกื้อหนุน หรือได้รับการปิดกั้น นำสู่ความรู้สึกสบายใจหรือพึงพอใจ หรือในทางตรงกันข้ามเกิดความรู้สึกอึดอัดขัดข้องไม่สบายใจ ไม่อยากเรียน
ความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง เกิดจากการมีอิสระในการคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่มีคนมาบงการให้ทำตาม เมื่อตัดสินใจถูกต้อง ก็เกิดความรู้สึกภูมิใจมั่นใจในตนเอง หรือหากตัดสินใจผิดพลาด ก็ได้เรียนรู้ และนำข้อเรียนรู้นั้นไปใช้ในโอกาสต่อไป หนังสือเล่มนี้จึงเสนอให้ถือนักเรียนเป็นหุ้นส่วนการเรียนรู้ในห้องเรียน ไม่ใช่ผู้มารับถ่ายทอดความรู้หรือสมรรถนะ ครูต้องช่วยสร้างความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองของนักเรียนโดยยึดถือความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน (partners) ดังกล่าวแล้ว
ความรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ การที่นักเรียนได้ลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จ จะช่วยสร้างความรู้สึกมั่นใจในตนเอง ยิ่งได้ทำสิ่งยากที่ในตอนแรกไม่สำเร็จ แต่เมื่อได้แก้ไขวิธีการหลายๆ ครั้งจนประสบความสำเร็จ จะยิ่งสร้างความมั่นใจในตนเอง ครูต้องช่วยสร้างบรรยากาศและให้โจทย์จากง่ายไปยาก เพื่อช่วยให้นักเรียนสร้างความมั่นใจในตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความมั่นใจในการสู้สิ่งยาก สิ่งที่ท้าทาย มั่นใจที่จะเผชิญความล้มเหลว
ความรู้สึกเป็นพวกพ้อง เกิดขึ้นเมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีคุณค่า นักเรียนที่ไม่มีความรู้สึกนี้ จะรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยก และเหงา ทำให้มีการเรียนรู้ได้ยาก เพราะการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม ครูจึงมีหน้าที่สร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับนักเรียน ยิ่งนักเรียนที่มีท่าทีแปลกแยกครูยิ่งต้องเอาใจใส่ ท่าทีมีเมตตาเอาใจใส่ (caring) ของครู การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ให้คุณค่านักเรียนทุกคน และการให้คำแนะนำป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ (constructive feedback) จะช่วยสร้างความรู้สึกมีพวกพ้องให้แก่นักเรียน นำสู่ความเอาใจใส่การเรียน (learning engagement) ของนักเรียน
นักเรียนมาโรงเรียนพร้อมกับ ความสนใจ ความอยากรู้ และเป้าหมาย ของตนเอง ครูต้องเอาใจใส่ทำความเข้าใจแรงจูงใจเหล่านี้ของนักเรียนแต่ละคน และหาวิธีสนองแรงจูงใจเหล่านี้ มีวิธีแสดงให้นักเรียนเห็นว่าแรงจูงใจของเขามีคุณค่า ช่วยให้เรียนสนุก ท้าทาย และทำให้เกิดความอยากรู้ต่อเนื่องยิ่งๆ ขึ้นไปอีก โดยชวนนักเรียนตั้งคำถามปลายเปิด ที่ไม่มีคำตอบถูกผิด แต่ช่วยยกระดับความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามว่า ทำไม (why) เป็นหลักการสำคัญสำหรับครูทำหน้าที่กระตุ้นความผูกพันต่อการเรียนของนักเรียน (student engagement)
สนับสนุนความเป็นตัวของตัวเองและความเป็นผู้ก่อการของนักเรียน
เมื่อนักเรียนสนุกกับการเรียนในระดับ “ขับเคลื่อน” (driving) นักเรียนจะรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) และมีโอกาสเป็นผู้ก่อการ (agency) รู้สึกว่ากำลังกำกับการเรียนรู้ของตนเอง คิดเอง ตัดสินใจเองได้ ในสภาพเช่นนี้ ครูแสดงบทบาทได้ ๒ แบบ คือ (๑) สนับสนุน (๒) ขัดขวาง
ไม่มีที่ดีครูคนใดจงใจขัดขวางการเรียนรู้ของนักเรียน แต่ที่ทำไปก็เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ว่าสภาพการเรียนรู้ระดับ ๖ ใน student engagement continuum มีค่าเพียงใดต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ที่ขัดขวางก็เพราะหลงผิด ว่านักเรียนกำลังไม่อยู่ในการควบคุมของตน หลงผิดต่อหน้าที่ของครูที่ดี ตามที่เสนอในหนังสือ งอกงามความรักเรียน (Student Engagement) เล่มนี้
สร้างวัฒนธรรมผูกพันต่อการเรียน (Culture of Engagement) ในรูปแบบที่ถูกต้อง
เริ่มจากการทำความเข้าใจว่า culture of engagement มีความหมายจำเพาะ อยู่บนฐานความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน (ระหว่างครูกับนักเรียน) หรือความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกัน โดยมีเป้าหมายว่า สภาพการเรียนรู้ที่นักเรียนสนใจเรียนในระดับ ๖ ของ student engagement continuum - ขับเคลื่อน (driving) เป็นสภาพบรรยากาศห้องเรียนตามปกติ คือนักเรียนมีความเป็นตัวของตัวเอง มีโจทย์ที่ท้าทายให้ร่วมกันดำเนินการ เพื่อการเรียนรู้ระดับสูงและเชื่อมโยง สู่ mastery learning โดยนักเรียนได้พัฒนาคุณสมบัติที่หลากหลายตามเป้าหมายของการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑, การเรียนรู้องค์รวม (holistic learning), การพัฒนาทักษะแห่งอนาคต, การเรียนรู้ ‘ขั้นสูง’ จากประสบการณ์
จึงต้องนิยาม “ความสำเร็จในการศึกษา” ใหม่ ว่าไม่ใช่เพียงตอบคำถามได้ (อย่างรวดเร็ว) ทำงานสำเร็จ และตรงตามกำหนดเวลาเท่านั้น นิยามเก่าของความสำเร็จนี้ จะนำสู่การพัฒนาคนที่ว่านอนสอนง่าย ทำตามคำสั่งได้ดี จะไม่ได้สร้างคนที่กล้าเสี่ยง กล้าทำผิดพลาด (เพื่อเรียนรู้) กล้าท้าทายตนเอง
จะเห็นว่า ระบบการศึกษาไทย ยังวนเวียนอยู่กับนิยามความสำเร็จแบบเก่า หากเราต้องการหนุนนักเรียนให้พัฒนาตนเองไปเป็นพลเมืองคุณภาพสูง เพื่อทำหน้าที่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยสู่ประเทศรายได้สูงสังคมดีผู้คนมีความสุข เราต้องนิยามความสำเร็จของการศึกษาใหม่ตามที่เสนอในย่อหน้าบน คือต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมการศึกษาของประเทศ
ครูต้องทำหน้าที่สื่อสารวัฒนธรรมใหม่ด้านความผูกพันต่อการเรียนของนักเรียน (student engagement) ที่เป็นวัฒนธรรมหุ้นส่วน เน้นความสัมพันธ์แนวราบ ที่ครูและนักเรียนมีความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน และมีเป้าหมายหนุนการสร้างคนที่มีภาวะผู้นำ ที่กล้าริเริ่มกระทำการใหม่ๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ใช่สร้างผู้ตามที่ว่านอนสอนง่าย
ครูสร้างวัฒนธรรมใหม่นี้ ผ่านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบใหม่ในห้องเรียน และในพื้นที่เรียนรู้ หรือระบบนิเวศการเรียนรู้ทั้งหมด
ชุดคำถามสำหรับครูใช้คุยกับนักเรียน เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบใหม่
- ผลสำเร็จที่แท้จริงของการเรียนรู้ คืออะไรบ้าง
- ผู้เรียนรู้ที่ดี ทำและไม่ทำอะไรบ้าง
- เมื่อทำผิดพลาด นักเรียนรู้สึกอย่างไร ความผิดพลาดคืออะไร มีความหมายต่อการเรียนรู้อย่างไร
- สิ่งใดบ้างที่ช่วยการเรียนรู้ของนักเรียน
- สำหรับตัวนักเรียนเอง สิ่งใดบ้างที่ทำให้การเรียนมีความยากลำบาก
- ฯลฯ
ข้อมูลที่ครูได้รับจากการใช้คำถามเหล่านี้พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับนักเรียน จะมีค่ามากต่อการนำมาใช้ออกแบบพื้นที่เรียนรู้เชิงบวก หรือ “สนามพลังบวก” ให้แก่นักเรียน
ร่วมกับนักเรียนทำให้เกิดการผูกพันต่อการเรียนอย่างเหมาะสม
หลักการสำคัญคือ ใช้แนวทาง “นักเรียนเป็นตัวของตัวเอง ครูทำหน้าที่เกื้อหนุน” (autonomy – supportive approach) และเน้นที่ นักเรียน “ทุกคน” ไม่ใช่ครูเอาใจใส่เฉพาะนักเรียนที่เรียนอ่อน หรือที่ไม่ค่อยเอาใจใส่การเรียน เท่านั้น และไม่ใช่ครูเอาใจใส่เฉพาะนักเรียนที่ตั้งใจเรียน
นั่นคือ นักเรียนทุกคนร่วมกันวางแผนบทเรียน ร่วมกันออกความเห็นและร่วมกันหาข้อยุติหรือข้อสรุปสำหรับนำไปใช้ดำเนินการ และในช่วงของการเรียนบทเรียน ครูขอ feedback จากนักเรียนว่านักเรียนได้มีการผูกพันและมีส่วนร่วม (engagement) และมีการเรียนรู้อย่างไรบ้าง
หลักการ “หุ้นส่วน” (partnership) ต่อความเอาใจใส่เรียนรู้ หรือการผูกพันต่อการเรียน (learning engagement) นี้ ไม่เฉพาะครูกับนักเรียนเท่านั้น ที่เป็นหุ้นส่วนต่อกัน ตัวนักเรียนเองก็เป็นหุ้นส่วนต่อกันและกันด้วย
นักเรียนนำอะไรสู่พื้นที่หุ้นส่วน
สภาพที่เราไม่ต้องการคือครูเจ้ากี้เจ้าการจัดการทั้งหมด นักเรียนเป็นผู้รับและทำตาม การหนุนให้นักเรียนลุกขึ้นมาเป็นผู้กระทำการ หรือเป็นหุ้นส่วนร่วมกระทำการ (engagement partners) จึงมีความสำคัญยิ่ง
ใส่แรงจูงใจและความมานะพยายาม
นอกจากใส่แรงจูงใจและความมานะพยายามแล้ว ผมขอเพิ่มเติมว่านักเรียนต้องช่วยกันสร้างบรรยากาศคึกคักท้าทาย ในสภาพดังกล่าว นักเรียนเข้าสู่วงเรียนรู้ด้วยความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนว่าจะเรียนรู้บทเรียนนี้ได้ รู้สึกความเป็นพวกพ้องหรือทีม ที่จะร่วมกันฟันฝ่าสู่ความสำเร็จในการเรียนรู้ได้ รู้สึกสนใจและอยากรู้สิ่งที่เรียน และรู้สึกว่าการเรียนมีความหมาย มีคุณค่าต่อตนเอง
นักเรียนพร้อมที่จะทุ่มเทพลังสมอง และความคิดต่อกิจกรรมการเรียนรู้ พร้อมที่จะฟันฝ่าความยากลำบากและความไม่แน่นอน รวมทั้งมีความเชื่อมั่นว่า ยามต้องการ ครูพร้อมจะให้ตำแนะนำ
แสดงบทผู้นำในกระบวนการผูกพันต่อการเรียน และการเรียนรู้
นี่คือการแสดงบทบาทในระดับ ๖ ของ student engagement continuum – ผู้ขับเคลื่อน (driving) คอยให้กำลังใจทีมงาน หมั่นสะท้อนคิดทบทวนคุณค่าหรือความหมายของการเรียนรู้ แสวงหาการสนับสนุนที่ต้องการ แสวงหาโจทย์ที่ท้าทายใหม่ๆ และเฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทางของการเรียนรู้
สื่อสาร
การที่นักเรียนสื่อสารความต้องการ ความสนใจ และความชอบ ของตน จะกระตุ้นให้ครูสนองตอบด้วยปฏิสัมพันธ์แบบ “นักเรียนเป็นตัวของตัวเอง ครูทำหน้าที่เกื้อหนุน” ส่งผลให้พื้นที่หุ้นส่วนมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น เป็นสภาพที่นักเรียนมีส่วนร่วมสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นในโรงเรียน
ลงมือเรียน
เริ่มตั้งแต่การร่วมกันตั้งโจทย์ ว่าจะเรียนอะไร เพื่ออะไร ตั้งเป้าหมายของกิจกรรมการเรียนรู้ วางแผน ตั้งคำถาม และหาคำตอบ ทำกิจกรรมเพื่อทดลองและสะท้อนคิดสู่การเรียนรู้หลักการ ตาม Kolb’s Experiential Learning Cycle เมื่อเผชิญปัญหาก็ร่วมกันหาทางแก้ หรือหาทางขอคำแนะนำช่วยเหลือ นี่คือสภาพการเรียนรู้ของนักเรียนที่เป็น “ผู้ขับเคลื่อน” (drivers) ของการเรียนรู้ (จดจ่อต่อการเรียนระดับ ๖) โดยครูคอยทำหน้าที่กองเชียร์และที่ปรึกษาอยู่ห่างๆ
ร่วมมือกับผู้อื่น
ดังกล่าวแล้วในบทที่ ๑ การเรียนรู้แบบที่นักเรียนทุ่มเทเอาใจใส่ (engage) เป็นการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) ที่นักเรียนเรียนโดยลงมือทำ และต้องร่วมมือกับเพื่อนๆ และครูก็เป็น “หุ้นส่วน” ด้วย การร่วมมือกันทำกิจกรรมเพื่อเรียนรู้ในบรรยากาศ “จดจ่อต่อการเรียนระดับ ๖” นี้สนุกมาก มีการตั้งคำถามต่อกัน แลกเปลี่ยนคำตอบกัน มีการค้นพบความรู้ความเข้าใจบางอย่างที่แปลกใหม่สำหรับนักเรียน ที่เมื่อนักเรียนเอามาเล่าให้ครูฟัง ครูก็ได้เรียนรู้ไปด้วย ตรงกับหลักการ “ครูเป็นหุ้นส่วนเรียนรู้” (learning partner)
เริ่มต้นความเป็นหุ้นส่วน
เริ่มที่การทำความเข้าใจความเป็นหุ้นส่วน (engagement) ในการดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แทนที่ครูจะบอกนักเรียน (ซึ่งจะเป็นการใช้ความสัมพันธ์แบบครู-ศิษย์ แบบเก่า ไม่ใช่แบบหุ้นส่วน) ครูแนะนำให้นักเรียนจัดกลุ่มกันทำความเข้าใจเรื่องความผูกพันต่อการเรียนของนักเรียน (student engagement) แล้วนำเสนอต่อเพื่อนๆ ในชั้น ครูจะได้เรียนรู้มุมมอง (perspective) ของนักเรียน สำหรับนำมาใช้ทำหน้าที่หุ้นส่วนที่คอยเกื้อหนุน หนังสือ Reimagining Student Engagement บอกว่า มีคนทดลองใช้กับนักเรียนชั้น ป. ๕ และ ป. ๖ ได้ผลดีมาก
วิจารณ์ พานิช
๑๖ เม.ย. ๖๘ ปรับปรุง ๑๒ พ.ค. ๖๘