GotoKnow

งอกงามความรักเรียน (Student Engagement)  ๓. Engagement คือการเป็นหุ้นส่วน

Prof. Vicharn Panich
เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2568 09:38 น.

 

หนังสือ งอกงามความรักเรียน (Student Engagement) เล่มนี้   มอง student engagement เป็นกิจกรรมของหุ้นส่วน (partnership) ระหว่างครู (โรงเรียน) กับนักเรียน    ความเข้มแข็งของพฤติกรรมผูกพันต่อการเรียนของนักเรียน (student engagement) เกิดจากหุ้นส่วนทั้งสองฝ่าย  คือฝ่ายครู (และโรงเรียน) กับฝ่ายนักเรียน    ซึ่งหมายความว่า หากเกิดกรณีปัญหานักเรียนบางคนไม่สนใจเรียน (student disengagement) ขึ้น   ต้องหาสาเหตุจากทั้งสองฝ่าย    ไม่ใช่มองว่าเป็นปัญหาของนักเรียนเพียงฝ่ายเดียว     

มุมมองเช่นนี้ แตกต่างจากวัฒนธรรมของวงการศึกษาไทยอย่างสิ้นเชิง     

วงการศึกษาไทยมองว่าครูเป็นฝ่ายให้  นักเรียนเป็นฝ่ายรับ    ไม่ใช่เป็นหุ้นส่วนกัน อย่างที่เสนอในหนังสือเล่มนี้   

วงการศึกษาไทยมองว่าครูเป็นผู้มีสถานะเหนือนักเรียน    ไม่ใช่เป็นหุ้นส่วนที่ต้องเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตามที่เสนอในหนังสือเล่มนี้   

ท่านผู้อ่านพึงตระหนักในจินตนาการใหม่ ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน  ที่หนังสือ งอกงามความรักเรียน (Student Engagement) เล่มนี้เสนออย่างมีข้อมูลหลักฐานจากงานวิจัยสนับสนุน   โดยผมตีความมาจากหนังสือ Reimagining Student Engagement 

บทที่ ๓ นี้ ตีความจากหนังสือ Reimagining Student Engagement : From Disrupting to Driving.  Chapter 2 Engagement as Partnership               

ในสภาพปัจจุบัน ครูตกอยู่ในฐานะถูกบีบโดยหน่วยเหนือ ให้ออกแบบการเรียนรู้ตามที่หน่วยเหนือกำหนด  เมื่อออกแบบแล้วก็โดนนักเรียนบีบ โดยตั้งใจเรียนบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง    สภาพเช่นนี้ ไม่ก่อผลดีทั้งต่อครู และต่อนักเรียน    และที่สำคัญที่สุด เป็นรากเหง้าของความอ่อนแอของระบบการศึกษาไทย 

ความผิดพลาดอยู่ที่การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนที่ไม่ถูกต้อง    คือกำหนดให้ครูเป็นผู้ให้บริการ (provider)   นักเรียนเป็นผู้รับบริการ (customer) 

 

Engagement ในฐานะพื้นที่หุ้นส่วน

 ความอ่อนแอของระบบการศึกษา อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างครูหรือผู้ใหญ่ ที่กระทำต่อนักเรียนหรือเด็ก   ในลักษณะที่ทำให้นักเรียนรู้สึกว่า การศึกษาคือสิ่งที่ตนถูกกระทำ โดยผู้ใหญ่ที่ไม่มีความสุขจากการกระทำนั้น   และหากจะให้นักเรียนรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่ง   ตนควรเป็นที่รู้จักและมีตัวตนต่อผู้ใหญ่โดยรอบ ที่อ้างว่าเข้ามาช่วยให้ตนประสบความสำเร็จ

นั่นคือ นักเรียนต้องการการศึกษาที่มีมิติของความเป็นมนุษย์ (gotoknow.org/posts/721587)  

พื้นที่หุ้นส่วน (engagement) ไม่ควรเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายหนึ่งชนะ อีกฝ่ายหนึ่งแพ้   หรือเป็นพื้นที่ที่มีความสูญเสียเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย    แต่ควรเป็นพื้นที่ที่ทุกฝ่ายชนะ หรือได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมาย   

Student engagement แบบที่ครูใช้วิธีการควบคุมหรือบังคับกิจกรรมการเรียนรู้    ผลที่ได้คือ มีนักเรียนเพียงส่วนน้อยที่อยู่ในระดับสูงๆ ในตาราง student engagement continuum   ซึ่งอย่างสูงก็บรรลุในระดับ เข้าร่วม (participating)   ไปไม่ถึงระดับ ขับเคลื่อน (driving) ที่เป็นระดับที่เราต้องการให้นักเรียนไปถึง    เพราะการบังคับมีผลลดทอนแรงจูงใจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation) ที่นักเรียนมีอยู่ตามธรรมชาติ จะเหือดแห้งหายไป โดยบรรยากาศของการบีบบังคับ   

บรรยากาศชั้นเรียนที่นักเรียนผูกพันต่อการเรียน

ผู้สังเกตชั้นเรียนแบบนี้จะสัมผัสพลัง (energy) ที่อบอวลอยู่ในชั้นเรียน   นักเรียนมีแววตาท่าทางพฤติกรรมที่บอกความกระตือรือร้นต่อกิจกรรมที่กำลังเกิดขึ้น   คำพูดคุย คำอุทาน สะท้อนสภาพ “เอ๊ะ ... อ๋อ” ในกลุ่มนักเรียน    เราจะเห็นภาพที่นักเรียนสุมหัวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดีย หรือแผนงานข้างหน้าต่อกัน    เห็นสภาพที่ทีมงานแบ่งงานกันทำ และปรึกษาหารือกัน     เป็นสภาพที่ครูสอนน้อย ศิษย์เรียนรู้มาก (Teach less, Learn more)   

บทบาทของครูต่อสภาพที่กลุ่มนักเรียนจดจ่อต่อการเรียน

มีความเข้าใจผิดว่า ในสภาพเช่นนี้ ครูไม่ต้องทำอะไร   เป็นช่วงพักผ่อนของครู    ในความเป็นจริง ครูต้องเข้าไปกระตุ้นแรงบันดาลใจ และการเรียนรู้ระดับลึกและเชื่อมโยง   โดยตั้งคำถามกระตุ้นการสะท้อนคิดสู่การเรียนรู้หลักการหรือทฤษฎี ตาม Kolb’s Experiential Learning Cycle (gotoknow.org/posts/713644)   และตาม การเรียนรู้ ‘ขั้นสูง’ จากประสบการณ์ (https://www.roong-aroon.ac.th/?p=13290)     รวมทั้งคอยทำหน้าที่ให้ constructive feedback ต่อความก้าวหน้า และผลงานของนักเรียน (gotoknow.org/posts/tags/dylan_Wiliam)    เพื่อกระตุ้นหรือท้าทายให้นักเรียนสร้างผลงานที่ดียิ่งขึ้น    สู่การเรียนรู้ขั้นสูง (mastery learning)    

 

ครูนำอะไรสู่พื้นที่หุ้นส่วน

 เป้าหมายสำคัญคือ หนุนให้ student engagement สูง  พัฒนาสู่ระดับขับเคลื่อน (driving)    บทบาทสำคัญของครูคือ  ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่หนุนให้นักเรียนจดจ่อต่อการเรียนในระดับสูง    หาทางหนุนให้พลังแรงจูงใจของนักเรียนออกมากระทำการ    หนุนให้นักเรียนเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) ต่อการเรียนรู้   มีความเป็นผู้ริเริ่มกระทำการ (agency) หรือผู้ก่อการ   ร่วมมือกับนักเรียนทุกคนในการหนุนให้นักเรียนผูกพันต่อการเรียน และสร้างวัฒนธรรมผูกพันต่อการเรียน (engagement culture) 

ออกแบบการเรียนรู้ที่หนุน student engagement

หลักการคือต้องออกแบบการเรียนรู้ที่ฝึกให้นักเรียนใช้ทักษะการเรียนรู้ที่ใช้ใน student engagement continuum ระดับ ๖ - ขับเคลื่อน (driving)  ได้แก่ ทักษะการตั้งเป้าที่ท้าทาย เพื่อการเรียนรู้ระดับสูงและเชื่อมโยงของตน   คือนักเรียนต้องไม่เพียงลงมือทำ (พฤติกรรมเชิงรุก) เท่านั้น   แต่ต้องรุกอย่างมีเป้าหมาย (ที่เหมาะสมและท้าทาย)  มีกลยุทธเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น    และเมื่อบรรลุ ครูก็ช่วยแนะนำเป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง    เพื่อขับเคลื่อนการเรียนรู้จากระดับต่ำ  สู่ระดับสูง และระดับเชื่อมโยง ที่เป็นการเรียนรู้ระดับรู้จริง (mastery learning)       

กระตุ้นแรงจูงใจภายในของนักเรียน

นักจิตวิทยาการศึกษาบอกว่ามีปัจจัยด้านจิตใจ ๓ ประการที่จะช่วยหนุนพื้นฐานความตั้งใจเรียน และการมีความสุขกับการเรียน  ได้แก่ (๑) ความเป็นตัวของตัวเอง (autonomy)   (๒) ความรู้สึกว่าตนเองมีสมรรถนะ (competence) หรือความสามารถ    และ (๓) ความสัมพันธ์หรือเป็นพวกพ้องกับเพื่อนๆ และครู (relatedness)   เมื่อนักเรียนมาโรงเรียน พื้นฐานทางใจ ๓ ประการนี้อาจได้รับการเกื้อหนุน หรือได้รับการปิดกั้น    นำสู่ความรู้สึกสบายใจหรือพึงพอใจ หรือในทางตรงกันข้ามเกิดความรู้สึกอึดอัดขัดข้องไม่สบายใจ ไม่อยากเรียน  

ความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง  เกิดจากการมีอิสระในการคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง    ไม่มีคนมาบงการให้ทำตาม    เมื่อตัดสินใจถูกต้อง ก็เกิดความรู้สึกภูมิใจมั่นใจในตนเอง   หรือหากตัดสินใจผิดพลาด ก็ได้เรียนรู้ และนำข้อเรียนรู้นั้นไปใช้ในโอกาสต่อไป   หนังสือเล่มนี้จึงเสนอให้ถือนักเรียนเป็นหุ้นส่วนการเรียนรู้ในห้องเรียน   ไม่ใช่ผู้มารับถ่ายทอดความรู้หรือสมรรถนะ   ครูต้องช่วยสร้างความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองของนักเรียนโดยยึดถือความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน (partners) ดังกล่าวแล้ว     

ความรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ   การที่นักเรียนได้ลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จ   จะช่วยสร้างความรู้สึกมั่นใจในตนเอง    ยิ่งได้ทำสิ่งยากที่ในตอนแรกไม่สำเร็จ แต่เมื่อได้แก้ไขวิธีการหลายๆ ครั้งจนประสบความสำเร็จ จะยิ่งสร้างความมั่นใจในตนเอง   ครูต้องช่วยสร้างบรรยากาศและให้โจทย์จากง่ายไปยาก เพื่อช่วยให้นักเรียนสร้างความมั่นใจในตนเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความมั่นใจในการสู้สิ่งยาก สิ่งที่ท้าทาย   มั่นใจที่จะเผชิญความล้มเหลว 

ความรู้สึกเป็นพวกพ้อง   เกิดขึ้นเมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีคุณค่า     นักเรียนที่ไม่มีความรู้สึกนี้ จะรู้สึกโดดเดี่ยว  แปลกแยก  และเหงา  ทำให้มีการเรียนรู้ได้ยาก เพราะการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม   ครูจึงมีหน้าที่สร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับนักเรียน  ยิ่งนักเรียนที่มีท่าทีแปลกแยกครูยิ่งต้องเอาใจใส่   ท่าทีมีเมตตาเอาใจใส่ (caring) ของครู การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ให้คุณค่านักเรียนทุกคน   และการให้คำแนะนำป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ (constructive feedback) จะช่วยสร้างความรู้สึกมีพวกพ้องให้แก่นักเรียน   นำสู่ความเอาใจใส่การเรียน (learning engagement) ของนักเรียน    

นักเรียนมาโรงเรียนพร้อมกับ ความสนใจ  ความอยากรู้  และเป้าหมาย ของตนเอง   ครูต้องเอาใจใส่ทำความเข้าใจแรงจูงใจเหล่านี้ของนักเรียนแต่ละคน   และหาวิธีสนองแรงจูงใจเหล่านี้   มีวิธีแสดงให้นักเรียนเห็นว่าแรงจูงใจของเขามีคุณค่า ช่วยให้เรียนสนุก ท้าทาย และทำให้เกิดความอยากรู้ต่อเนื่องยิ่งๆ ขึ้นไปอีก    โดยชวนนักเรียนตั้งคำถามปลายเปิด ที่ไม่มีคำตอบถูกผิด แต่ช่วยยกระดับความคิด   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามว่า ทำไม (why)   เป็นหลักการสำคัญสำหรับครูทำหน้าที่กระตุ้นความผูกพันต่อการเรียนของนักเรียน (student engagement)                   

สนับสนุนความเป็นตัวของตัวเองและความเป็นผู้ก่อการของนักเรียน

เมื่อนักเรียนสนุกกับการเรียนในระดับ “ขับเคลื่อน” (driving) นักเรียนจะรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง (autonomy)  และมีโอกาสเป็นผู้ก่อการ (agency)   รู้สึกว่ากำลังกำกับการเรียนรู้ของตนเอง   คิดเอง ตัดสินใจเองได้    ในสภาพเช่นนี้ ครูแสดงบทบาทได้ ๒ แบบ  คือ (๑) สนับสนุน  (๒) ขัดขวาง   

ไม่มีที่ดีครูคนใดจงใจขัดขวางการเรียนรู้ของนักเรียน   แต่ที่ทำไปก็เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ    ว่าสภาพการเรียนรู้ระดับ ๖ ใน student engagement continuum มีค่าเพียงใดต่อการเรียนรู้ของนักเรียน   ที่ขัดขวางก็เพราะหลงผิด ว่านักเรียนกำลังไม่อยู่ในการควบคุมของตน   หลงผิดต่อหน้าที่ของครูที่ดี  ตามที่เสนอในหนังสือ งอกงามความรักเรียน (Student Engagement) เล่มนี้   

สร้างวัฒนธรรมผูกพันต่อการเรียน (Culture of Engagement)  ในรูปแบบที่ถูกต้อง

เริ่มจากการทำความเข้าใจว่า culture of engagement มีความหมายจำเพาะ   อยู่บนฐานความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน (ระหว่างครูกับนักเรียน) หรือความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกัน   โดยมีเป้าหมายว่า สภาพการเรียนรู้ที่นักเรียนสนใจเรียนในระดับ ๖ ของ student engagement continuum - ขับเคลื่อน (driving) เป็นสภาพบรรยากาศห้องเรียนตามปกติ   คือนักเรียนมีความเป็นตัวของตัวเอง    มีโจทย์ที่ท้าทายให้ร่วมกันดำเนินการ   เพื่อการเรียนรู้ระดับสูงและเชื่อมโยง  สู่ mastery learning    โดยนักเรียนได้พัฒนาคุณสมบัติที่หลากหลายตามเป้าหมายของการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑,  การเรียนรู้องค์รวม (holistic learning),   การพัฒนาทักษะแห่งอนาคต,  การเรียนรู้ ‘ขั้นสูง’ จากประสบการณ์   

จึงต้องนิยาม “ความสำเร็จในการศึกษา” ใหม่  ว่าไม่ใช่เพียงตอบคำถามได้ (อย่างรวดเร็ว)  ทำงานสำเร็จ  และตรงตามกำหนดเวลาเท่านั้น    นิยามเก่าของความสำเร็จนี้ จะนำสู่การพัฒนาคนที่ว่านอนสอนง่าย ทำตามคำสั่งได้ดี   จะไม่ได้สร้างคนที่กล้าเสี่ยง  กล้าทำผิดพลาด (เพื่อเรียนรู้)  กล้าท้าทายตนเอง   

จะเห็นว่า ระบบการศึกษาไทย ยังวนเวียนอยู่กับนิยามความสำเร็จแบบเก่า   หากเราต้องการหนุนนักเรียนให้พัฒนาตนเองไปเป็นพลเมืองคุณภาพสูง  เพื่อทำหน้าที่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยสู่ประเทศรายได้สูงสังคมดีผู้คนมีความสุข  เราต้องนิยามความสำเร็จของการศึกษาใหม่ตามที่เสนอในย่อหน้าบน    คือต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมการศึกษาของประเทศ   

ครูต้องทำหน้าที่สื่อสารวัฒนธรรมใหม่ด้านความผูกพันต่อการเรียนของนักเรียน (student engagement)   ที่เป็นวัฒนธรรมหุ้นส่วน  เน้นความสัมพันธ์แนวราบ ที่ครูและนักเรียนมีความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน    และมีเป้าหมายหนุนการสร้างคนที่มีภาวะผู้นำ ที่กล้าริเริ่มกระทำการใหม่ๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม   ไม่ใช่สร้างผู้ตามที่ว่านอนสอนง่าย   

ครูสร้างวัฒนธรรมใหม่นี้ ผ่านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบใหม่ในห้องเรียน  และในพื้นที่เรียนรู้ หรือระบบนิเวศการเรียนรู้ทั้งหมด      

ชุดคำถามสำหรับครูใช้คุยกับนักเรียน เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบใหม่

  • ผลสำเร็จที่แท้จริงของการเรียนรู้ คืออะไรบ้าง
  • ผู้เรียนรู้ที่ดี ทำและไม่ทำอะไรบ้าง
  • เมื่อทำผิดพลาด นักเรียนรู้สึกอย่างไร  ความผิดพลาดคืออะไร มีความหมายต่อการเรียนรู้อย่างไร
  • สิ่งใดบ้างที่ช่วยการเรียนรู้ของนักเรียน
  • สำหรับตัวนักเรียนเอง สิ่งใดบ้างที่ทำให้การเรียนมีความยากลำบาก
  • ฯลฯ 

ข้อมูลที่ครูได้รับจากการใช้คำถามเหล่านี้พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับนักเรียน  จะมีค่ามากต่อการนำมาใช้ออกแบบพื้นที่เรียนรู้เชิงบวก หรือ “สนามพลังบวก” ให้แก่นักเรียน

ร่วมกับนักเรียนทำให้เกิดการผูกพันต่อการเรียนอย่างเหมาะสม

หลักการสำคัญคือ ใช้แนวทาง “นักเรียนเป็นตัวของตัวเอง ครูทำหน้าที่เกื้อหนุน” (autonomy – supportive approach)   และเน้นที่ นักเรียน “ทุกคน”  ไม่ใช่ครูเอาใจใส่เฉพาะนักเรียนที่เรียนอ่อน  หรือที่ไม่ค่อยเอาใจใส่การเรียน เท่านั้น    และไม่ใช่ครูเอาใจใส่เฉพาะนักเรียนที่ตั้งใจเรียน

นั่นคือ นักเรียนทุกคนร่วมกันวางแผนบทเรียน ร่วมกันออกความเห็นและร่วมกันหาข้อยุติหรือข้อสรุปสำหรับนำไปใช้ดำเนินการ   และในช่วงของการเรียนบทเรียน ครูขอ feedback จากนักเรียนว่านักเรียนได้มีการผูกพันและมีส่วนร่วม (engagement)  และมีการเรียนรู้อย่างไรบ้าง 

หลักการ “หุ้นส่วน” (partnership) ต่อความเอาใจใส่เรียนรู้ หรือการผูกพันต่อการเรียน (learning engagement) นี้   ไม่เฉพาะครูกับนักเรียนเท่านั้น ที่เป็นหุ้นส่วนต่อกัน   ตัวนักเรียนเองก็เป็นหุ้นส่วนต่อกันและกันด้วย   

 

นักเรียนนำอะไรสู่พื้นที่หุ้นส่วน

สภาพที่เราไม่ต้องการคือครูเจ้ากี้เจ้าการจัดการทั้งหมด นักเรียนเป็นผู้รับและทำตาม   การหนุนให้นักเรียนลุกขึ้นมาเป็นผู้กระทำการ หรือเป็นหุ้นส่วนร่วมกระทำการ (engagement partners) จึงมีความสำคัญยิ่ง 

ใส่แรงจูงใจและความมานะพยายาม

นอกจากใส่แรงจูงใจและความมานะพยายามแล้ว    ผมขอเพิ่มเติมว่านักเรียนต้องช่วยกันสร้างบรรยากาศคึกคักท้าทาย    ในสภาพดังกล่าว นักเรียนเข้าสู่วงเรียนรู้ด้วยความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง  รู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนว่าจะเรียนรู้บทเรียนนี้ได้    รู้สึกความเป็นพวกพ้องหรือทีม ที่จะร่วมกันฟันฝ่าสู่ความสำเร็จในการเรียนรู้ได้   รู้สึกสนใจและอยากรู้สิ่งที่เรียน   และรู้สึกว่าการเรียนมีความหมาย มีคุณค่าต่อตนเอง 

นักเรียนพร้อมที่จะทุ่มเทพลังสมอง และความคิดต่อกิจกรรมการเรียนรู้ พร้อมที่จะฟันฝ่าความยากลำบากและความไม่แน่นอน   รวมทั้งมีความเชื่อมั่นว่า ยามต้องการ ครูพร้อมจะให้ตำแนะนำ   

แสดงบทผู้นำในกระบวนการผูกพันต่อการเรียน และการเรียนรู้

นี่คือการแสดงบทบาทในระดับ ๖ ของ student engagement continuum – ผู้ขับเคลื่อน (driving)  คอยให้กำลังใจทีมงาน  หมั่นสะท้อนคิดทบทวนคุณค่าหรือความหมายของการเรียนรู้   แสวงหาการสนับสนุนที่ต้องการ   แสวงหาโจทย์ที่ท้าทายใหม่ๆ   และเฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทางของการเรียนรู้ 

สื่อสาร

การที่นักเรียนสื่อสารความต้องการ  ความสนใจ และความชอบ ของตน  จะกระตุ้นให้ครูสนองตอบด้วยปฏิสัมพันธ์แบบ “นักเรียนเป็นตัวของตัวเอง ครูทำหน้าที่เกื้อหนุน”  ส่งผลให้พื้นที่หุ้นส่วนมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น   เป็นสภาพที่นักเรียนมีส่วนร่วมสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นในโรงเรียน   

ลงมือเรียน 

เริ่มตั้งแต่การร่วมกันตั้งโจทย์  ว่าจะเรียนอะไร เพื่ออะไร    ตั้งเป้าหมายของกิจกรรมการเรียนรู้  วางแผน   ตั้งคำถาม และหาคำตอบ  ทำกิจกรรมเพื่อทดลองและสะท้อนคิดสู่การเรียนรู้หลักการ ตาม Kolb’s Experiential Learning Cycle   เมื่อเผชิญปัญหาก็ร่วมกันหาทางแก้ หรือหาทางขอคำแนะนำช่วยเหลือ   นี่คือสภาพการเรียนรู้ของนักเรียนที่เป็น “ผู้ขับเคลื่อน” (drivers) ของการเรียนรู้ (จดจ่อต่อการเรียนระดับ ๖)  โดยครูคอยทำหน้าที่กองเชียร์และที่ปรึกษาอยู่ห่างๆ       

ร่วมมือกับผู้อื่น

ดังกล่าวแล้วในบทที่ ๑ การเรียนรู้แบบที่นักเรียนทุ่มเทเอาใจใส่ (engage) เป็นการเรียนรู้เชิงรุก (active learning)   ที่นักเรียนเรียนโดยลงมือทำ และต้องร่วมมือกับเพื่อนๆ   และครูก็เป็น “หุ้นส่วน” ด้วย    การร่วมมือกันทำกิจกรรมเพื่อเรียนรู้ในบรรยากาศ “จดจ่อต่อการเรียนระดับ ๖” นี้สนุกมาก  มีการตั้งคำถามต่อกัน แลกเปลี่ยนคำตอบกัน   มีการค้นพบความรู้ความเข้าใจบางอย่างที่แปลกใหม่สำหรับนักเรียน   ที่เมื่อนักเรียนเอามาเล่าให้ครูฟัง ครูก็ได้เรียนรู้ไปด้วย    ตรงกับหลักการ “ครูเป็นหุ้นส่วนเรียนรู้” (learning partner)   

 

เริ่มต้นความเป็นหุ้นส่วน

เริ่มที่การทำความเข้าใจความเป็นหุ้นส่วน (engagement) ในการดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง    แทนที่ครูจะบอกนักเรียน (ซึ่งจะเป็นการใช้ความสัมพันธ์แบบครู-ศิษย์ แบบเก่า  ไม่ใช่แบบหุ้นส่วน)   ครูแนะนำให้นักเรียนจัดกลุ่มกันทำความเข้าใจเรื่องความผูกพันต่อการเรียนของนักเรียน (student engagement)   แล้วนำเสนอต่อเพื่อนๆ ในชั้น   ครูจะได้เรียนรู้มุมมอง (perspective) ของนักเรียน  สำหรับนำมาใช้ทำหน้าที่หุ้นส่วนที่คอยเกื้อหนุน    หนังสือ Reimagining Student Engagement บอกว่า มีคนทดลองใช้กับนักเรียนชั้น ป. ๕ และ ป. ๖ ได้ผลดีมาก   

วิจารณ์ พานิช

๑๖ เม.ย. ๖๘  ปรับปรุง ๑๒ พ.ค. ๖๘ 

       

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ

ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
MyThaiSpot
Healthy Travel, Thai Discoveries
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย