งานวิจัยจิตวิทยายุคใหม่ได้ปลุกกระแสแนวคิดเรื่อง “สภาวะ Flow (โฟลว์)” ให้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง สภาวะ Flow คืออาการ “อิน” สุด ๆ กับสิ่งที่ทำ จนแทบไม่รับรู้เวลาหรือตัวตน ซึ่งหลายคนเชื่อว่านี่อาจเป็นเคล็ดลับสู่ความสุขที่แท้จริง แนวคิดนี้ถูกจุดประกายครั้งแรกโดยนักจิตวิทยา มิฮาย ชิกเซ็นต์มิฮายยี (Mihaly Csikszentmihalyi) ในช่วงยุค 70s (ราว พ.ศ. 2513-2522) ทุกวันนี้ สภาวะ Flow กลายเป็นแรงบันดาลใจในหลากหลายวงการ ตั้งแต่ห้องเรียนในไทยไปจนถึงห้องประชุมผู้บริหาร ด้วยความหวังว่าจะนำมาซึ่งความสุขเต็มเปี่ยมและศักยภาพที่เพิ่มขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว Flow คืออะไรกันแน่? คนไทยจะเข้าถึงสภาวะนี้ท่ามกลางชีวิตที่แสนวุ่นวายได้อย่างไร? แล้ววิทยาศาสตร์ล่าสุดอธิบายผลของมันไว้อย่างไรบ้าง?
ความน่าสนใจของแนวคิดนี้ยิ่งชัดเจนสำหรับคนไทย ท่ามกลางกระแสถกเถียงเรื่องสุขภาพจิต ประสิทธิภาพการทำงาน และสุขภาวะของนักเรียนนักศึกษา สังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับ “สติ” และแนวคิดทางพุทธเรื่องการอยู่กับปัจจุบันและสมาธิมาแต่ไหนแต่ไร จึงดูเป็นพื้นที่ที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้ ยิ่งในภาวะที่ไทยกำลังเผชิญกับอัตราความเครียดและภาวะหมดไฟที่พุ่งสูง ทั้งจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขและจำนวนผู้ใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น แนวคิดที่ว่าสภาวะ Flow อาจช่วยบรรเทาความทุกข์และมอบความสุขที่แท้จริงได้จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ
หัวใจของสภาวะ Flow ได้รับการนิยามว่าเป็น “สภาวะการรับรู้ที่ดีที่สุดที่เราจะรู้สึกยอดเยี่ยมและทำงานได้ดีที่สุด” ตามคำกล่าวของผู้อำนวยการสถาบัน Flow Research Collective (อ้างอิงจาก The Guardian) แม้บางทีจะเรียกว่าการ “เข้าโซน” แต่สภาวะ Flow เกิดขึ้นได้กับแทบทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาที่กำลังทุบสถิติ นักดนตรีที่ลืมโลกขณะสร้างสรรค์ผลงาน หรือพนักงานออฟฟิศที่ปั่นงานเสร็จไวอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่เชื่อมโยงประสบการณ์เหล่านี้คือความรู้สึกดื่มด่ำอย่างเป็นธรรมชาติและสมาธิที่แน่วแน่ เป็นช่วงเวลาที่ทักษะและความท้าทายลงตัวพอดี
ชิกเซ็นต์มิฮายยี ผู้งานวิจัยบุกเบิกของเขาเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้มานานหลายทศวรรษ ได้ระบุลักษณะสำคัญ 7 ประการที่เกี่ยวข้องกับสภาวะ Flow ได้แก่ การมีสมาธิจดจ่ออย่างเข้มข้นจนเกิดความรู้สึกเป็นสุขอย่างล้นเหลือ, การได้รับผลตอบรับทันที, การมีเป้าหมายที่ชัดเจนและทำได้สำเร็จ, การลืมเวลา, การลืมตัวตน, การรู้ว่าต้องการอะไรในแต่ละขณะ, และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ซึ่งได้รับการยืนยันจากการศึกษาต่อ ๆ มา สอดคล้องกับบริบทของไทยในทางปฏิบัติ ตั้งแต่จิตที่แน่วแน่ของนักมวยไทย ไปจนถึงนักเรียนที่กำลังจดจ่อแก้โจทย์คณิตศาสตร์ยาก ๆ
ประโยชน์ทางจิตใจของการเข้าสู่สภาวะ Flow นั้นมีมากมาย จากบทสัมภาษณ์และบทวิเคราะห์ทางวิชาการล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญ เช่น ผู้อำนวยการศูนย์ Flow Centre และรองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส ต่างเห็นพ้องกับคำกล่าวอ้างของชิกเซ็นต์มิฮายยีว่า สภาวะ Flow อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสุข การเข้าสู่สภาวะ Flow ช่วยให้ “สมองส่วนคิดวิเคราะห์” สงบลง ลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหัว และทำให้แต่ละคนรู้สึกแบกรับความเครียดหรือความวิตกกังวลน้อยลง งานวิจัยชี้ว่าสภาวะ Flow สัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และแม้กระทั่งความเข้มแข็งทางใจที่มากขึ้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เป็นที่ต้องการในหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่การศึกษา สาธารณสุข ไปจนถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในประเทศไทย (อ้างอิงจาก PubMed)
การศึกษาทางประสาทจิตวิทยาล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการได้สัมผัสประสบการณ์ Flow บ่อยครั้งอาจช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลได้ ความเข้าใจนี้น่าจะช่วยกำหนดทิศทางการส่งเสริมความเข้มแข็งทางใจของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข หลังจากพบแนวโน้มที่น่ากังวลเกี่ยวกับสุขภาพจิตของคนไทยในช่วงการระบาดของโควิด-19 (อ้างอิงจาก Bangkok Post) แม้ว่านักวิจัยจะเพิ่งเริ่มทำความเข้าใจกลไกทางชีวภาพและจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลังสภาวะ Flow อย่างละเอียด แต่ความเชื่อมโยงระหว่างสภาวะ Flow ความสุข และ “ความเจริญงอกงาม” โดยรวมของชีวิตนั้นดูเหมือนจะแข็งแกร่งมาก
แล้วเราจะเข้าสู่สภาวะ Flow ได้อย่างไร? ผู้ปฏิบัติงานและนักการศึกษาไทยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของศูนย์ Flow Centre แนะนำว่าหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างความท้าทายและทักษะ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การรู้คิดอธิบายว่า “การผสมผสานระหว่างความท้าทายและทักษะในระดับต่าง ๆ จะนำไปสู่สภาวะทางจิตใจที่แตกต่างกัน” งานที่ซ้ำซากจำเจอาจทำให้เบื่อหน่าย ในขณะที่งานที่ยากเกินไปจะทำให้เกิดความวิตกกังวล แต่เมื่อความท้าทายสอดคล้องกับทักษะที่มี เช่น เชฟกำลังปรุงรสต้มยำให้อร่อยเลิศ หรือนักเรียนกำลังเรียนรู้ภาษาใหม่จนเชี่ยวชาญ สภาวะ Flow ก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด รูปแบบนี้สามารถนำมาปรับใช้กับการปฏิรูปการศึกษาของไทย โดยเน้นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ “ท้าทายกำลังดี” คือกระตุ้นให้พัฒนาแต่ไม่หนักหนาจนเกินไป
สภาวะ Flow ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในระดับบุคคล ตัวอย่างเช่น ทีมเซปักตะกร้อของไทยมักรายงานว่าเกิดสภาวะ Flow ร่วมกันระหว่างการแข่งขันที่ทำผลงานได้ดีที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยที่ว่าความท้าทายแบบกลุ่มก็ส่งเสริมประสบการณ์ Flow ร่วมกันได้ ผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบ “autotelic” (ผู้ที่ทำกิจกรรมเพื่อความสุขจากตัวกิจกรรมเอง) คือคนที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อความสุขใจล้วน ๆ ไม่ใช่เพื่อรางวัลภายนอก มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่สภาวะ Flow ได้ง่ายกว่า ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่นักการศึกษาสามารถส่งเสริมได้ในห้องเรียนของไทย
ในทางกลับกัน สภาวะ Flow จะถูกรบกวนได้ง่ายจากสิ่งล่อใจและการขาดเป้าหมายที่ชัดเจน การแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา หรือความรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับงานที่ทำ จะเป็นอุปสรรคต่อสมาธิที่กำลังจดจ่ออย่างลึกซึ้ง ผู้อำนวยการสถาบัน Flow Research Collective ชี้ว่าพื้นที่ทำงานสมัยใหม่ โดยเฉพาะออฟฟิศแบบเปิดโล่งที่เสียงดัง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในกรุงเทพฯ อาจบั่นทอนเป้าหมายในการเพิ่มผลิตภาพของประเทศ ไม่ใช่ว่าสิ่งรบกวนทั้งหมดจะมาจากเทคโนโลยีดิจิทัล สำหรับบางคน แม้แต่เพลงที่ไพเราะก็อาจทำลายสมาธิได้หากดึงความสนใจออกจากงานหลัก
สำหรับประเทศไทย ความเข้าใจเหล่านี้มีนัยสำคัญที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที ยุทธศาสตร์ 20 ปีของกระทรวงศึกษาธิการมุ่งสร้าง “เยาวชนไทยที่มีความรอบรู้และเข้มแข็งทางใจ” โดยการบูรณาการการพัฒนาอารมณ์และทักษะทางสังคม (soft skills) ในห้องเรียน การส่งเสริมสภาวะ Flow ผ่านกิจกรรมที่ออกแบบมาอย่างดีจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ ทั้งยังสอดคล้องกับคำสอนทางพุทธศาสนาเรื่องสัมมาสมาธิ (samādhi) การยืนยันประโยชน์ของสภาวะ Flow ทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นเหตุผลเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนแนวปฏิบัติซึ่งเป็นที่ให้ความสำคัญมานานในการศึกษาของพระสงฆ์ไทยและในสายการปฏิบัติธรรม เช่น ที่วัดมหาธาตุและวัดอื่น ๆ
ในเชิงวัฒนธรรม แนวคิดเรื่อง “ใจเย็น” ของไทย สอดคล้องกับความสงบที่มักเกิดขึ้นระหว่างอยู่ในสภาวะ Flow นักดนตรีไทยเดิม ช่างฝีมือโบราณ และพระสงฆ์ อาจไม่ได้เรียกประสบการณ์ของตนเองว่า “Flow” แต่การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันของพวกท่านสะท้อนถึงสิ่งที่ค้นพบนี้ การผสมผสานทฤษฎี Flow สมัยใหม่เข้ากับแนวปฏิบัติทางจิตวิญญาณของไทย อาจมอบเทคนิคใหม่ ๆ ให้นักเรียน ศิลปิน และคนทำงาน เพื่อใช้จัดการความเครียดและบรรลุความสุขสมหวังในชีวิต
เมื่อมองไปข้างหน้า งานวิจัยเกี่ยวกับสภาวะ Flow กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว การศึกษาด้วยการสร้างภาพสมอง (neuroimaging) ในมหาวิทยาลัยชั้นนำกำลังเริ่มทำแผนที่เครือข่ายสมองที่ทำงานระหว่างเกิดสภาวะ Flow คณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังศึกษาแนวทางการส่งเสริมสภาวะ Flow ในห้องเรียนภาษาและสะเต็มศึกษา (STEM) (อ้างอิงจาก Chulalongkorn University) โครงการส่งเสริมสุขภาวะในองค์กร (corporate wellness programs) ของภาคเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในไทย ก็เริ่มนำการฝึกอบรมที่อิงหลักการ Flow มาใช้ โดยหวังว่าจะช่วยลดภาวะหมดไฟและรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้น (อ้างอิงจาก Bangkok Post)
สำหรับผู้อ่านชาวไทยที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ Flow และอาจรวมถึงความสุขที่มากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำขั้นตอนง่าย ๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ ดังนี้:
- เลือกกิจกรรมที่ท้าทายความสามารถ แต่ไม่ยากจนเกินกำลัง
- ลดสิ่งรบกวนให้น้อยที่สุด: ปิดการแจ้งเตือนโทรศัพท์ และพิจารณาสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เงียบสงบเหมือนวัด หรือที่ที่ต้องการสมาธิอย่างห้องสมุด
- ทำกิจกรรมเพื่อความเพลิดเพลินจากตัวกิจกรรมเอง ไม่ใช่เพียงเพื่อการยอมรับหรือรางวัลจากภายนอก
- ฝึกทบทวนตนเอง: สังเกตว่างานและสภาวะแบบใดที่เคยทำให้คุณเข้าสู่สภาวะ Flow ได้
ในขณะที่วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสภาวะ Flow กำลังคลี่คลายความลับของ “สภาวะจิตที่ดีที่สุด” นี้อย่างต่อเนื่อง บทเรียนที่ได้น่าจะมีอิทธิพลต่อทุกสิ่ง ตั้งแต่นโยบายการศึกษาระดับชาติ ไปจนถึงวิธีที่คนไทยรับมือกับความท้าทายในชีวิตประจำวัน ทั้งในที่ทำงานและเวลาพักผ่อน สำหรับประเทศที่กำลังแสวงหาความสุขในยุคแห่งสิ่งรบกวนทางดิจิทัล การค้นพบคุณค่าของสภาวะ Flow อีกครั้ง ถือเป็นการนำเสนอหนทางทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมเพื่อก้าวต่อไป