มีงานวิจัยใหม่ๆ หลายชิ้นออกมาตั้งคำถามกับความเชื่อที่คนส่วนใหญ่ทั้งในไทยและทั่วโลกยึดถือกันมานาน ว่าการมุ่งมั่นไขว่คว้าความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ที่สูงขึ้น ตำแหน่งงานใหญ่โต หรือสัญลักษณ์ความสำเร็จที่มองเห็นได้ภายนอก จะนำไปสู่ความสุขที่ยั่งยืน ผลการวิจัยล่าสุด ซึ่งเป็นที่รู้จักผ่านบทวิเคราะห์อันเฉียบคมของนายแพทย์จอร์แดน กรูเม็ต ในนิตยสาร Psychology Today ชี้ว่า ความพึงพอใจทางอารมณ์จากการประสบความสำเร็จตามแบบแผนเดิมๆ นั้น ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องชั่วคราว แต่บ่อยครั้งยังถูกมองว่าสำคัญเกินจริงไปเสียอีก (Psychology Today)
ในทางกลับกัน งานวิจัยเหล่านี้ชี้แนะหนทางอื่นที่เรียบง่ายกว่า เพื่อนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีอย่างแท้จริง โดยเน้นความสำคัญของเป้าหมายส่วนตัว การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้คนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือกุญแจสู่ความพึงพอใจที่ยั่งยืน
สำหรับผู้อ่านชาวไทยจำนวนมากที่กำลังเผชิญแรงกดดันหนักหน่วงทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ ตั้งแต่การแข่งขันทางการศึกษาไปจนถึงความคาดหวังที่จะยกระดับฐานะของตนเองในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แนวคิดนี้นับเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสใหม่ เรื่องเล่าทางวัฒนธรรมในสังคมไทยก็ไม่ต่างจากอีกหลายประเทศ ที่มักผูกโยงความสำเร็จเข้ากับความสุขเสมอ เช่น การสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คณะดีๆ การได้งานที่ให้ผลตอบแทนสูง หรือการได้เลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงาน
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของ Bankrate ในปี 2567 ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตัวอย่างเช่น ชาวอเมริกันรู้สึกว่าต้องการรายได้ถึงปีละ 186,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 6.8 ล้านบาท) เพื่อให้รู้สึกมั่นคงทางการเงิน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าสองเท่าของรายได้เฉลี่ยจริงในสหรัฐฯ พวกเขายังเชื่อว่าการจะถูกเรียกว่า ‘คนรวย’ ได้นั้น ต้องมีรายได้ต่อปีอย่างน้อย 520,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 19 ล้านบาท) ทีเดียว แม้ตัวเลขเหล่านี้จะแตกต่างจากมาตรฐานรายได้ในประเทศไทย แต่รูปแบบความคิดที่ว่า “เป้าหมายต่อไปข้างหน้า” ไม่เคยให้ความรู้สึกว่าเพียงพอสักทีนั้น เป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนไม่น้อยคุ้นเคยกันดี ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ
อะไรคือสาเหตุของความรู้สึกไม่พอใจที่ไม่สิ้นสุดนี้? งานวิจัยชี้ไปที่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘การปรับตัวทางอารมณ์สุข’ (hedonic adaptation) ซึ่งหมายถึงแนวโน้มของจิตใจคนเราที่จะกลับคืนสู่ระดับความสุขพื้นฐานที่คงที่ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่น่ายินดีอย่างยิ่งหรือเรื่องร้ายแรงในชีวิตมาก็ตาม มีงานวิจัยชิ้นคลาสสิกในปี พ.ศ. 2521 โดยบริกแมนและคณะ ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มคนที่เพิ่งถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่กับกลุ่มคนที่ประสบอุบัติเหตุรุนแรงจนร่างกายพิการ แม้ว่าผู้ที่ถูกรางวัลจะมีความสุขพุ่งสูงขึ้นในตอนแรก แต่ไม่นานความรู้สึกยินดีนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ร่างกายพิการก็ค่อยๆ ฟื้นตัวทางสภาพจิตใจได้เช่นกัน ผลลัพธ์ที่น่าสนใจคือ เมื่อเวลาผ่านไป ระดับความสุขของคนทั้งสองกลุ่มมีแนวโน้มที่จะกลับคืนสู่ระดับเดิมที่เคยเป็นก่อนเกิดเหตุการณ์เหล่านั้น (วิกิพีเดีย: Hedonic adaptation)
ประเด็นนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนไทยและครอบครัว ที่ต้องเผชิญแรงกดดันให้สร้างผลงานที่ดีทั้งในโรงเรียน ที่ทำงาน และในสังคม หากความรู้สึกดีใจอย่างท่วมท้นจากความสำเร็จจางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้แล้ว จะมีหนทางอื่นใดที่ยั่งยืนกว่าในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวได้หรือไม่?
นายแพทย์กรูเม็ตได้รวบรวมงานวิจัยล่าสุดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน รวมถึงงานเขียนของอาเธอร์ บรูกส์ ในนิตยสาร The Atlantic และงานวิจัยชิ้นสำคัญอย่างโครงการศึกษาการพัฒนาผู้ใหญ่ของฮาร์วาร์ด (Harvard Study of Adult Development) เพื่อนำเสนอแนวทางใหม่สู่ความสุขสมบูรณ์ในชีวิต แม้ว่ากลยุทธ์เหล่านี้อาจดูสวนทางกับค่านิยมการมุ่งเน้นความสำเร็จในยุคปัจจุบัน แต่ก็มีงานวิจัยทางจิตวิทยาที่ทำกันมานานหลายสิบปีรองรับ
ประการแรก แนวคิดเรื่อง ‘เป้าหมายเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน’ (little-p purpose) หรือการค้นหาและทำกิจกรรมที่สร้างพลังใจและความรู้สึกมั่นคงให้ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ กลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เป้าหมายเล็กๆ นี้แตกต่างจากความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ที่มุ่งเปลี่ยนแปลงสังคม แต่เป็นเรื่องของกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันที่ทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินและมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้าเล่นที่เชียงใหม่ การทำงานประดิษฐ์อยู่ที่บ้าน การทำอาหารไทยอร่อยๆ ให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวทาน หรือการฝึกสมาธิกับคนในชุมชนที่วัดใกล้บ้าน หัวใจสำคัญคือการได้ทำในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามีความหมายอย่างลึกซึ้งในระดับส่วนตัว แนวคิดเช่นนี้สอดคล้องกับวิถีไทยดั้งเดิมที่ให้ความสำคัญกับความ ‘สบายๆ’ หรือความสุขใจแบบเรียบง่ายจากกิจวัตรและความรื่นรมย์เล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน
ประการที่สอง งานวิจัยสนับสนุนให้เรามุ่งเน้นไปที่ ‘การเป็น’ (becoming) มากกว่า ‘การบรรลุ’ (achieving) นั่นหมายถึงการเปลี่ยนการให้คุณค่ากับตัวเองจากการมุ่งไขว่คว้าตำแหน่งหรือคำชื่นชมต่างๆ เช่น ‘สุดยอดเชฟมือรางวัล’ หรือ ‘นักเรียนดีเด่น’ ไปสู่การอุทิศตนให้กับการฝึกฝนทักษะในสิ่งที่ทำอย่างสม่ำเสมอ เป็นการพัฒนาฝีมือ เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ และค้นหาความสุขจากความก้าวหน้าของตนเอง แนวคิดที่ให้ความสำคัญกับ ‘กระบวนการ’ มากกว่า ‘ผลลัพธ์’ เช่นนี้ อาจเป็นสิ่งที่ชาวพุทธคุ้นเคยจากหลักมรรคมีองค์ 8 ซึ่งช่วยให้เราพบความสุขแท้จริงจากภายใน มากกว่าการยอมรับจากภายนอกที่เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว
ประการที่สาม ซึ่งอาจเป็นข้อค้นพบที่ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนที่สุดจากงานวิจัยระยะยาวหลายชิ้น คือการให้ความสำคัญสูงสุดกับความสัมพันธ์ โครงการศึกษาการพัฒนาผู้ใหญ่ของฮาร์วาร์ด (Harvard Study of Adult Development) ที่ติดตามกลุ่มตัวอย่างยาวนานกว่า 80 ปี พบว่าคุณภาพของความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนรอบข้างเป็นปัจจัยที่ทำนายความสุขและสุขภาพที่ดีตลอดชีวิตได้แม่นยำที่สุด ซึ่งสำคัญกว่าความสำเร็จทางการเงินหรือหน้าที่การงานอย่างเทียบไม่ติด (Harvard Gazette) ข้อค้นพบนี้ยังสอดคล้องกับสุภาษิตไทยที่ว่า “บ้านใกล้เรือนเคียงสำคัญกว่าเงินทอง” เป็นการตอกย้ำว่าความผูกพัน การรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และการมีชุมชนที่ดี คือรากฐานที่แท้จริงของความเป็นอยู่ที่มีความสุข
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านต่างเห็นด้วยกับข้อค้นเหล่านี้ จิตแพทย์และศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโครงการศึกษาการพัฒนาผู้ใหญ่ที่ได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น ยืนยันว่า “ความสุขไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่คือคุณภาพของการเดินทาง และผู้คนที่ร่วมเดินทางไปกับเราต่างหาก”
เมื่อนำมุมมองนี้มาปรับใช้กับสังคมไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับความผูกพันทางสังคมและความปรองดองในชุมชนเป็นหัวใจหลักมาโดยตลอด งานวิจัยเหล่านี้ช่วยตอกย้ำคุณค่าของค่านิยมดั้งเดิมให้กลับมาเด่นชัดอีกครั้ง แม้ว่ากระแสความทันสมัยและความรู้สึกโดดเดี่ยวในโลกดิจิทัลจะกำลังเป็นความท้าทายก็ตาม สำหรับกลุ่มนักเรียนนักศึกษาและคนทำงานรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับอิทธิพลจากมาตรฐานความสำเร็จระดับโลกที่เห็นผ่านโซเชียลมีเดีย การได้ตระหนักว่าความสำเร็จไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียวของ ‘ชีวิตที่ดี’ ถือเป็นเรื่องที่ช่วยปลดปล่อยความคิดและมาได้ถูกเวลาอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ประเด็นดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้างอีกด้วย ปัญหาความเครียดเรื้อรังและภาวะหมดไฟที่พบได้บ่อยขึ้นในกลุ่มเด็กนักเรียนและพนักงานออฟฟิศชาวไทยนั้น มีความเชื่อมโยงกับการมุ่งมั่นไล่ตามความสำเร็จอย่างไม่หยุดหย่อน (Bangkok Post) การปรับเปลี่ยนมุมมองในการใช้ชีวิตนี้ จึงสามารถช่วยสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่ภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย ตั้งแต่โครงการรณรงค์ลดความเครียดของกระทรวงสาธารณสุข ไปจนถึงเครือข่ายดูแลผู้สูงอายุในชุมชน
เมื่อมองไปข้างหน้า กลยุทธ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยเหล่านี้ได้เสนอแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมสำหรับคนไทยที่ต้องการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้มากยิ่งขึ้น ได้แก่ การหันมาใส่ใจกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่มีความหมายในชีวิตประจำวัน การให้ความสำคัญกับ ‘กระบวนการ’ มากกว่า ‘ผลลัพธ์’ และการลงทุนลงแรงเพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและเกื้อกูลกัน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อนเก่าสมัยเรียน กลุ่มกิจกรรมทางศาสนาในชุมชน หรือแม้แต่ชุมชนในโลกออนไลน์ที่ช่วยสร้างความผูกพันอย่างแท้จริง
เพื่อให้เกิดการนำแนวคิดเหล่านี้ไปปรับใช้จริง ผู้อ่านชาวไทยอาจลองเริ่มต้นด้วยการทบทวนตัวเองเป็นประจำว่ามีกิจกรรมใดบ้างที่ทำแล้วรู้สึกดีและช่วยยกระดับจิตใจได้โดยธรรมชาติ นอกจากนี้ การกระชับความสัมพันธ์กับคนรอบข้างผ่านการทานข้าวร่วมกันหรือทำกิจกรรมอาสาต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการมองเป้าหมายส่วนตัวว่าเป็นเส้นทางการเรียนรู้และพัฒนาตนเองไปตลอดชีวิต แทนที่จะเป็นการมุ่งเอาชนะเพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่งเพียงครั้งเดียวแล้วจบไป ในขณะเดียวกัน สถาบันการศึกษา สถานที่ทำงาน และผู้กำหนดนโยบายก็ควรปรับวิธีการประเมินผล โดยให้ความสำคัญกับทักษะทางสังคม อารมณ์ และคุณธรรม ควบคู่ไปกับความสำเร็จด้านวิชาการหรือเศรษฐกิจด้วย
ในโลกที่กระตุ้นให้เราวิ่งไล่ตามสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จที่ดูเหมือนจะไขว่คว้าได้ยากเย็นขึ้นทุกวัน งานวิจัยกลุ่มนี้กำลังเชื้อเชิญให้สังคมไทยหันกลับมาสร้างความสุขจากสิ่งใกล้ตัว นั่นคือ การอยู่กับปัจจุบัน การมีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต และการมีผู้คนดีๆ รอบข้าง แทนที่จะยึดติดอยู่กับถ้วยรางวัลหรือตำแหน่งใหญ่โต
สำหรับใครก็ตามที่กำลังครุ่นคิดหรือตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง สารจากงานวิจัยนี้อาจช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ชีวิตที่มีความหมายอย่างแท้จริงนั้น ไม่ได้อยู่ที่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงรางวัลหรือตำแหน่งต่อไป แต่คือการมีความสุขกับทุกย่างก้าวของการเดินทาง โดยมีการสนับสนุนอันอบอุ่นจากผู้คนรอบข้างและชุมชนเป็นกำลังใจ หลักฐานต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าความสุขที่ยั่งยืนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องไขว่คว้าเอามา แต่เป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ สร้างขึ้นอย่างใส่ใจ ทีละเล็กทีละน้อย จากแต่ละช่วงเวลาและแต่ละความสัมพันธ์
แหล่งข้อมูล: