GotoKnow

นักวิทย์ฯ ทึ่ง! พลังดนตรี 'เขียนใหม่' ความทรงจำ ส่องโอกาสพลิกโฉมการบำบัด-เรียนรู้ในไทย

ทีมข่าวสาระความรู้
เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2568 08:22 น. ()

วงการประสาทวิทยาศาสตร์กำลังตื่นตะลึงกับพลังของเสียงเพลง งานวิจัยชิ้นใหม่บ่งชี้ว่า เสียงเพลงไม่เพียงแค่ปรับเปลี่ยนความทรงจำ แต่ยังสามารถ ‘แต่งแต้ม’ อารมณ์ใหม่เข้าไปในความทรงจำนั้นได้จริง นับเป็นการเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ทั้งในแวดวงการบำบัด การศึกษา และแม้แต่มิติทางวัฒนธรรม ผลการศึกษาด้านภาพถ่ายระบบประสาทล่าสุด ซึ่งเผยแพร่ในวารสาร Cognitive, Affective, & Behavioral Neuroscience ชี้ให้เห็นว่า การฟังเพลงระหว่างหวนรำลึกถึงความหลัง ไม่เพียงปลุกความรู้สึกเก่าๆ ให้ฟื้นคืน แต่ยังสามารถ ‘เขียนทับ’ ความทรงจำที่เคยเป็นกลาง ให้มีสีสันทางอารมณ์ตามเพลงที่ฟังได้อีกด้วย

สำหรับคนไทยที่เสียงดนตรีผูกพันลึกซึ้งกับทั้งพิธีการสำคัญของชาติ ศาสนา วัฒนธรรมร่วมสมัย และการศึกษา ผลการค้นพบใหม่นี้จึงมีความนัยยะที่กว้างไกล ไม่เพียงแต่ตอกย้ำด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์ถึงอิทธิพลต่อจิตใจของบทเพลงไทย ทั้งเพลงคลาสสิก เพลงป๊อป หรือแม้แต่เพลงประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ที่ผู้คนรับรู้กันมานาน แต่ยังส่องให้เห็นลู่ทางการนำไปปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งกับผู้เข้ารับการบำบัด นักเรียนนักศึกษา หรือแม้แต่คนทั่วไปในชีวิตประจำวัน

งานวิจัยชิ้นนี้ดำเนินการโดยคณะนักวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยจอร์เจียเทค กับกลุ่มตัวอย่างผู้ใหญ่สุขภาพดี 44 คน อาสาสมัครถูกขอให้จดจำและทบทวนเรื่องราวสมมติที่ไม่สื่ออารมณ์ใดๆ ซึ่งจำลองขึ้นให้คล้ายคลึงกับประสบการณ์ในชีวิตจริง ระหว่างที่อาสาสมัครกำลังทบทวนความจำนั้น คณะนักวิจัยจะเปิดเพลงประกอบที่สื่ออารมณ์เชิงบวก เพลงที่สื่ออารมณ์เชิงลบ หรือให้ฟังในความเงียบ เพื่อดูว่าโทนอารมณ์ของเพลงจะส่งผลต่อการจดจำเหตุการณ์ที่เป็นกลางเหล่านั้นอย่างไร

ขั้นตอนการทดลองเป็นไปอย่างรัดกุม: วันแรก อาสาสมัครทำความคุ้นเคยกับเรื่องราว 20 เรื่อง (เรื่องราวที่เป็นกลางทางอารมณ์ 15 เรื่อง และเรื่องราวที่กระตุ้นอารมณ์ชัดเจน 5 เรื่อง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ) จากนั้นให้เล่ารายละเอียดตามที่จำได้ วันที่สอง ขณะอยู่ในเครื่อง fMRI (เครื่องสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็กเชิงฟังก์ชัน) อาสาสมัครจะทำการทดสอบการระลึกความจำ โดยฟังเพลงที่มีโทนอารมณ์ต่างๆ หรืออยู่ในความเงียบ ขณะพยายามนึกถึงเรื่องราวตามคำใบ้ที่ให้ วันที่สาม อาสาสมัครทำแบบทดสอบความจำอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบว่ามีรายละเอียดใหม่ๆ ที่เจือด้วยอารมณ์แทรกซึมเข้าไปในความทรงจำเดิมหรือไม่

ผลลัพธ์ที่ได้น่าสนใจอย่างยิ่ง: เมื่อมีการเปิดเพลงที่สื่ออารมณ์เฉพาะเจาะจงระหว่างการทบทวนความจำ อาสาสมัครมีแนวโน้มที่จะผสานองค์ประกอบทางอารมณ์ใหม่ๆ เช่น “ความสุข” หรือ “ความเศร้า” เข้าไปในความทรงจำเดิมโดยไม่รู้ตัว เพลงที่สื่ออารมณ์บวกทำให้เรื่องราวถูกจดจำในแง่บวกมากขึ้น ขณะที่เพลงเศร้าหรือสื่ออารมณ์ลบก็ทำให้การระลึกถึงนั้นหม่นหมองลง ภาพสแกนสมองเผยว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงความทรงจำนี้เชื่อมโยงกับการทำงานที่เพิ่มขึ้นและการเชื่อมต่อกันของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ (อะมิกดาลา) การประมวลผลความจำ (สมองส่วนกลีบขมับด้านใน) และการสร้างภาพในจินตนาการ (เปลือกสมองส่วนหน้าและส่วนการมองเห็น) คณะนักวิจัยสรุปว่า “ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นผ่านกลไกการปรับปรุงความทรงจำใหม่ (reconsolidation) และในเชิงระบบประสาท อาจสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการทำงานของอะมิกดาลาและสมองส่วนกลีบขมับด้านใน ตลอดจนความแตกต่างในการทำงานของเครือข่ายสมองที่เกี่ยวข้องกับการสร้างภาพในใจ การมองจากมุมมองของผู้อื่น สมาธิ และการควบคุม” (PsyPost)

แนวคิดที่ว่าความทรงจำของเราถูก ‘ปรับปรุง’ หรือ ‘แก้ไข’ ทุกครั้งที่เราเรียกมันขึ้นมาใหม่ หรือที่เรียกว่า “การปรับปรุงความทรงจำใหม่” (reconsolidation) นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว แต่หลักฐานที่ชี้ว่าเสียงเพลงสามารถ ‘กำกับ’ โทนอารมณ์ของความทรงจำผ่านกระบวนการนี้ได้ ถือเป็นเรื่องใหม่และมีความสำคัญมาก คณะนักวิจัยชี้ว่า แม้อาสาสมัครส่วนใหญ่ยังคงจำรายละเอียดของเรื่องราวเดิมได้แม่นยำ แต่อิทธิพลทางอารมณ์ของดนตรีก็ทรงพลังพอที่จะเปลี่ยน “รสชาติ” หรือ “ความรู้สึก” ของสิ่งที่พวกเขาระลึกได้

สำหรับสังคมไทย ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับประสบการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เสียงเพลงเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตคนไทยทั้งในพื้นที่สาธารณะและส่วนตัว ตั้งแต่เพลงชาติที่ขับขานในสถานศึกษา บทสวดมนต์ในศาสนสถาน งานรื่นเริงพื้นบ้าน เสียงปี่กลองในสนามมวย ไปจนถึงคอนเสิร์ตยุคใหม่ ผู้ประกอบวิชาชีพดนตรีบำบัดในประเทศไทยเอง ก็ได้นำดนตรีทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัยมาใช้ช่วยผู้รับบริการให้ก้าวข้ามบาดแผลทางใจ จัดการกับภาวะสมองเสื่อม หรือลดทอนความวิตกกังวล งานวิจัยชิ้นใหม่นี้ ที่เชื่อมโยงนัยทางอารมณ์ของดนตรีเข้ากับการเปลี่ยนแปลงความทรงจำทั้งในระดับพฤติกรรมและกลไกทางระบบประสาท จึงสามารถช่วยตอกย้ำและเสริมศักยภาพของแนวทางปฏิบัติดังกล่าวให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นักจิตวิทยาคลินิกจากสถานพยาบาลด้านสุขภาพจิตชั้นนำแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ให้ทัศนะว่า “ในวัฒนธรรมไทย เราตระหนักถึงพลังทางอารมณ์ของดนตรีเป็นอย่างดีอยู่แล้ว องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสามารถนำดนตรีมาใช้ในการบำบัดผู้ที่มีบาดแผลทางใจได้อย่างมีเป้าหมายชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่เผชิญความเครียดจากสถานการณ์โรคระบาดหรือความผันผวนทางการเมือง” เช่นเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศ กล่าวเสริมว่า “เรื่องนี้สอดรับกับแวดวงการศึกษาไทย ที่มีการนำบทเพลงและจังหวะมาใช้อย่างกว้างขวางเพื่อช่วยให้เด็กๆ จดจำเนื้อหา ทั้งด้านภาษา สูตรคณิตศาสตร์ หรือแม้แต่บทเรียนคุณธรรม” ที่จริงแล้ว รายงานเมื่อปี พ.ศ. 2564 ระบุว่า ร้อยละ 78 ของโรงเรียนประถมศึกษาในประเทศไทยมีการบูรณาการดนตรีเข้ากับบทเรียนประจำวัน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชีย (UNESCO)

หากย้อนมองประวัติศาสตร์ การใช้ดนตรีเพื่อสลักเสลาความทรงจำในสังคมไทยนั้นมีมานับศตวรรษผ่านเรื่องเล่ามุขปาฐะ ตั้งแต่การขับขานตำนานโบราณผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน เช่น การขับซอ การขับเสภา ไปจนถึงบทสวดทำนองเสนาะที่โน้มน้าวจิตใจในการปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา ดนตรีจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้และกล่อมเกลาอารมณ์ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น แนวคิดที่ว่าดนตรีสามารถ “แต่งเติมสีสัน” ให้กับความทรงจำนั้น ยังสอดคล้องกับหลักปรัชญาพุทธที่มองว่าความทรงจำไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว แต่ปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะอารมณ์และสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น

ในสังคมไทยปัจจุบัน อิทธิพลของดนตรีต่อความทรงจำและอารมณ์ปรากฏชัดเจน ทั้งในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่บทเพลงบางเพลงช่วยปลุกสำนึกและอัตลักษณ์ร่วม หรือในแวดวงสาธารณสุข ที่กระทรวงสาธารณสุขมีโครงการ “ดนตรีในโรงพยาบาล” ซึ่งนำการแสดงดนตรีสดมาช่วยบรรเทาความทุกข์ของผู้ป่วย วิทยาการด้านประสาทวิทยาสมัยใหม่ได้มอบหลักฐานเชิงประจักษ์ที่หนักแน่นเพื่อสนับสนุนความเข้าใจเหล่านี้ และยังเปิดพรมแดนสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ผู้สูงวัยชาวไทยที่มีภาวะความจำเสื่อมจะได้รับประโยชน์จากดนตรีบำบัดที่เชื่อมโยงกับความทรงจำในอดีตได้หรือไม่? การเรียนรู้ในห้องเรียนจะฝังลึกและผูกพันกับอารมณ์ได้มากขึ้นด้วยบทเพลงที่คัดสรรอย่างเหมาะสมหรือไม่? และผู้ที่เผชิญกับความทรงจำอันเจ็บปวดจะสามารถ “เขียนทับ” ผลกระทบทางอารมณ์เหล่านั้นผ่านดนตรีบำบัดได้จริงหรือ?

อย่างไรก็ดี คณะนักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตว่า แม้พลังของดนตรีในการ “ปรับแก้” อารมณ์ของความทรงจำจะน่าสนใจ แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน การที่อาสาสมัครส่วนใหญ่ยังจดจำเรื่องราวเดิมได้อย่างแม่นยำ สะท้อนว่าในชีวิตจริง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงการปรับเปลี่ยน ‘โทน’ หรือ ‘สีสัน’ ทางอารมณ์ มากกว่าจะเป็นการบิดเบือนเนื้อหาข้อเท็จจริง ในเชิงจริยธรรม การนำศักยภาพของดนตรีมาปรับเปลี่ยนความทรงจำ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม จำเป็นต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำไปใช้ในแวดวงการศึกษาหรือการบำบัด

สำหรับทิศทางในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสำรวจอิทธิพลของดนตรีต่อความทรงจำทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและระดับกลุ่ม ในบริบททางวัฒนธรรมที่หลากหลายยิ่งขึ้น นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมในห้องทดลอง สำหรับบริบทของประเทศไทย ซึ่งมีการผสมผสานอันเป็นเอกลักษณ์ของอิทธิพลทางดนตรีทั้งแบบดั้งเดิม ศาสนา และสมัยนิยม งานวิจัยในอนาคตอาจมุ่งศึกษาว่าดนตรีพื้นบ้าน เช่น หมอลำ หรือลูกทุ่ง มีปฏิสัมพันธ์กับความทรงจำของประชากรทั้งในเขตเมืองและชนบทอย่างไร หรือนโยบายการศึกษาด้านดนตรีจะสามารถส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาและอารมณ์ในภาพรวมได้อย่างไรบ้าง

สำหรับพวกเราคนไทย ข้อคิดสำคัญจากเรื่องนี้คือ ดนตรีไม่ใช่เป็นเพียงแค่ ‘เพลงประกอบ’ ของชีวิต แต่เป็น ‘ส่วนผสม’ สำคัญที่ร่วมกำหนดทั้งสิ่งที่เราจดจำและวิธีที่เราจดจำมัน หากนำพลังนี้มาใช้อย่างถูกวิธีและชาญฉลาด ก็จะสามารถส่งเสริมการเยียวยาทางใจ เอื้อต่อการเรียนรู้ และเสริมสร้างความเข้มแข็งได้ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวม

ในการนำความเข้าใจนี้ไปประยุกต์ใช้: นักการศึกษาอาจเลือกใช้ดนตรีที่มีโทนอารมณ์เป็นกลางหรือเชิงบวกประกอบการเรียนการสอนเพื่อช่วยเสริมการจดจำ นักบำบัดอาจใช้ท่วงทำนองที่ผ่อนคลายและสร้างกำลังใจ เพื่อช่วยให้ผู้รับบริการสามารถทบทวนประสบการณ์ที่ยากลำบากในอดีตภายใต้สภาวะอารมณ์ที่ปลอดภัยขึ้น ในระดับครอบครัว อาจใช้บทเพลงไทยเดิมเพื่อสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกัน หรือช่วยผู้สูงอายุในการหวนรำลึกถึงอดีต การเลือกฟังเพลงอย่างมีสติ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราต้องการทบทวนเรื่องราวต่างๆ อาจช่วยให้เราสามารถ ‘เรียบเรียง’ เรื่องราวชีวิตของเราเองให้เปี่ยมด้วยพลังบวกและสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นในท้ายที่สุด

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย