การทำร้ายจิตใจ หรือที่เรียกว่าการทารุณกรรมทางอารมณ์ เป็นปัญหาที่คนมักมองข้ามเมื่อเทียบกับการทำร้ายร่างกาย แต่กำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้าง รวมถึงในสังคมไทยด้วย บทวิเคราะห์ล่าสุดจากผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า บาดแผลทางใจจากพฤติกรรมดังกล่าวอาจร้ายแรงเทียบเท่าหรือยิ่งกว่าบาดแผลทางกายเสียอีก ขณะที่ทั่วโลกและไทยเริ่มตระหนักถึงความรุนแรงรูปแบบนี้ที่ซับซ้อนและมองไม่เห็น ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจึงกระตุ้นให้สังคมหันมาใส่ใจ ป้องกัน และวางแนวทางช่วยเหลือเพื่อรับมือกับ “บาดแผลที่มองไม่เห็น” เหล่านี้ (เอโอแอล)
ลักษณะสำคัญของการทารุณกรรมทางอารมณ์คือการใช้พฤติกรรมซ้ำๆ เพื่อควบคุมจิตใจ ลดทอนคุณค่า กดดัน และทำให้อับอาย ซึ่งต่างจากการทำร้ายร่างกายตรงที่ไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผลภายนอก แต่จะค่อยๆ บั่นทอนความภาคภูมิใจในตนเอง ความมั่นคงทางอารมณ์ และความไว้เนื้อเชื่อใจ นักจิตวิทยาและสมาชิกสมาคมจิตวิทยาอเมริกันท่านหนึ่งเน้นย้ำว่า “เป้าหมายของการทารุณกรรมทางอารมณ์คือการทำให้คนอื่นรู้สึกแย่กับตัวเองหรือรู้สึกผิดต่อสถานการณ์” โดยชี้ว่าแรงจูงใจมักมาจากการต้องการควบคุม ความอิจฉาริษยา หรือความรู้สึกละอายใจของผู้กระทำ การกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คู่รัก เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่กับคนที่ไม่รู้จักกันบนโลกออนไลน์ ความร้ายกาจของมันอยู่ที่ความแนบเนียน ทำให้ผู้ถูกกระทำอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับอะไรจนกว่าจะรู้สึกทุกข์ทรมานใจอย่างหนัก
การทารุณกรรมทางอารมณ์ คือ การทำร้ายจิตใจโดยไม่ใช้กำลัง แต่มีเป้าหมายเพื่อควบคุมหรือใช้อำนาจเหนืออีกฝ่าย นักจิตวิทยาคลินิกท่านหนึ่งระบุว่า การกระทำเช่นนี้ส่งผลเสียได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น ทำให้พัฒนาการทางอารมณ์มีปัญหา สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้ยาก และประสิทธิภาพในการทำงานหรือการเรียนลดลง ผลกระทบมักลุกลามไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า อาการเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ การทำร้ายตัวเอง การใช้สารเสพติด และอาจรุนแรงถึงขั้นมีความคิดฆ่าตัวตาย (วิกิพีเดีย: การทารุณกรรมทางอารมณ์)
งานวิจัยจากศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเอมอรีและผู้เชี่ยวชาญอีกหลายท่าน ยิ่งตอกย้ำความรุนแรงของผลกระทบ โดยชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการทารุณกรรมทางอารมณ์กับอาการทางกายที่จับต้องได้ เช่น ปวดหัว เป็นแผลในกระเพาะอาหาร และนอนไม่หลับ นอกเหนือจากความทุกข์ทรมานทางใจ นักจิตวิทยาจากคลินิกสุขภาพพฤติกรรมเด็กคุก (Cook Children’s Behavioral Health Clinic) กล่าวว่า ผลกระทบจะยิ่งรุนแรงในกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจมาก่อน
พฤติกรรมที่เข้าข่ายการทารุณกรรมทางอารมณ์มีหลากหลาย เช่น การตำหนิติเตียนไม่หยุดหย่อน การใช้คำพูดหยาบคาย การข่มขู่ การควบคุมโดยทำให้รู้สึกผิด ละอาย หรือโทษตัวเอง การปั่นหัว (gaslighting) การทำให้ขายหน้า การกีดกันไม่ให้เข้าสังคม และการใช้ความเงียบเพื่อลงโทษ พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทั้งในบ้าน โรงเรียน (เช่น การกีดกันออกจากกลุ่มเพื่อน ซึ่งเป็นวิธีที่พบบ่อย) ที่ทำงาน และบนโลกออนไลน์ (เอโอแอล; วิกิพีเดีย)
สำหรับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ การจะรู้ตัวว่ากำลังถูกทำร้ายจิตใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นักจิตวิทยาคลินิกท่านเดิมตั้งข้อสังเกตว่า “บางครั้งการทำร้ายจิตใจก็แนบเนียนมาก จนผู้ถูกกระทำไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ กว่าจะรู้ก็เมื่อรู้สึกเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัสแล้ว” เมื่อรู้ตัวแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สร้างขอบเขตที่ชัดเจนกับผู้กระทำ (เช่น บอกไปตรงๆ ว่าไม่ต้องการให้ใช้คำพูดหยาบคาย) ขอความช่วยเหลือจากคนที่ไว้ใจ เช่น คนในครอบครัว ครู อาจารย์ที่ปรึกษา หรือฝ่ายบุคคล และหากจำเป็น ก็ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการบำบัด สายด่วนให้ความช่วยเหลือต่างๆ เช่น National Domestic Violence Hotline ในสหรัฐอเมริกา ที่ให้บริการคำปรึกษาที่เป็นความลับตลอด ๒๔ ชั่วโมง ส่วนในประเทศไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) หลายแห่งก็มีช่องทางให้ความช่วยเหลือในลักษณะเดียวกัน
งานวิจัยทั่วโลกกำลังชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการถูกทารุณกรรมทางอารมณ์กับปัญหาสุขภาพในระยะยาว งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อปี ๒๕๖๕ (2022) ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรม (Behavioral Risk Factor Surveillance System) ใน ๓๓ รัฐของสหรัฐฯ ยืนยันความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างประสบการณ์เลวร้ายทางอารมณ์ในวัยเด็กกับการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ (PubMed) งานวิจัยนานาชาติชิ้นอื่นๆ ในระยะหลัง ได้ศึกษาว่าโครงการเยี่ยมบ้านหรือมาตรการระดับชุมชนจะช่วยลดผลกระทบด้านพัฒนาการและพฤติกรรมของเด็กที่ถูกทารุณกรรมทางอารมณ์ได้อย่างไรบ้าง (PubMed) ที่สำคัญ งานวิจัยยังชี้ว่าประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก (Adverse Childhood Experiences หรือ ACEs) ซึ่งรวมถึงการถูกทำร้ายจิตใจด้วยนั้น เกี่ยวข้องกับการถูกกีดกันทางสังคม ความทุกข์ทางอารมณ์ และอาจส่งผลกระทบเป็นบาดแผลทางใจที่ส่งต่อกันข้ามรุ่น
สำหรับสังคมไทย การทารุณกรรมทางอารมณ์ยังไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้างเท่าที่ควร มักถูกซุกซ่อนอยู่ภายใต้ค่านิยมบางอย่าง หรือความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการลงโทษเด็กในรูปแบบที่ “สังคมยอมรับได้” แม้ประเทศไทยจะร่วมมือกับนานาชาติในการต่อต้านการลงโทษทางร่างกาย แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเตือนว่า ความคืบหน้าในการจัดการกับปัญหาการทารุณกรรมทางอารมณ์ยังเป็นไปได้ช้า เนื่องจากสังคมยังขาดความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับอันตรายจากการทำร้ายที่ไม่ใช่ทางกาย (เดอะเนชั่น ไทยแลนด์; บางกอกโพสต์)
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในปี ๒๕๖๐ มีเด็กเกือบ ๙,๐๐๐ คน เข้ารับการรักษาพยาบาลจากการถูกทำร้าย อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การยูนิเซฟและสถาบันวิจัยหลายแห่งเชื่อว่า ตัวเลขผู้ถูกกระทำที่แท้จริง ซึ่งรวมถึงการถูกทารุณกรรมทางอารมณ์ด้วยนั้น อาจสูงกว่านี้มาก เนื่องจากปัญหาการรายงานที่ต่ำกว่าความเป็นจริง (ยูนิเซฟ ประเทศไทย) ผลสำรวจงานวิจัยชิ้นหนึ่งในกรุงเทพมหานครพบว่า เยาวชนอายุ ๑๖-๒๕ ปี ถึงร้อยละ ๓๘ ระบุว่าเคยเผชิญกับการถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก โดยคาดว่าส่วนใหญ่เป็นการทารุณกรรมทางอารมณ์ (รีเสิร์ชเกต; PubMed)
ภาครัฐไทยได้พยายามเสริมสร้างกรอบกฎหมายเพื่อจัดการกับความรุนแรงต่อเด็กและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิดซ้ำ และขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมมากกว่าแค่การทำร้ายร่างกาย แต่ก็ยังคงมีความท้าทายอีกมาก ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเอมอรี และนักรณรงค์ด้านสวัสดิภาพเด็กในไทยหลายท่านเน้นย้ำว่า การที่กฎหมายยังไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนสำหรับการทารุณกรรมทางอารมณ์ ประกอบกับทัศนคติแบบเดิมๆ ที่ฝังรากลึกเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรและโครงสร้างอำนาจในสังคม ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการให้ความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองเด็กและสุขภาพจิตในระดับชุมชนยังคงมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่นอกเขตกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ (ยูนิเซฟ ประเทศไทย)
สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญหรือพบเห็นการทารุณกรรมทางอารมณ์ในสังคมไทย ควรขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานบริการสังคมในพื้นที่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข หรือสายด่วนสุขภาพจิตต่างๆ ครูอาจารย์ที่ปรึกษาในโรงเรียน ผู้นำทางศาสนา และฝ่ายทรัพยากรบุคคลในที่ทำงาน ก็มักจะมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำเบื้องต้นหรือช่วยประสานงานส่งต่อได้ นักจิตวิทยาและสมาชิกสมาคมจิตวิทยาอเมริกันท่านเดิมให้กำลังใจว่า “การฟื้นฟูจิตใจจากการถูกทารุณกรรมทางอารมณ์นั้น ต้องอาศัยการดูแลตัวเองอย่างมาก รวมถึงการพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางผู้คน สิ่งของ และประสบการณ์ที่จะนำความสุขมาให้ และช่วยให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับ” (เอโอแอล)
เมื่อมองไปในอนาคต งานวิจัยใหม่ๆ ต่างเน้นย้ำความสำคัญของการช่วยเหลือตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม และการให้ความรู้แก่ชุมชน แนวทางการป้องกัน เช่น การฝึกอบรมทักษะการเป็นพ่อแม่ โครงการสร้างความตระหนักรู้ในโรงเรียน และการสอนให้เด็กรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจเพื่อต่อต้านการถูกทำร้ายทางอารมณ์ โครงการต่างๆ ที่มุ่งเน้นเรื่องประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก (ACEs) ซึ่งประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ก็สามารถนำมาปรับใช้ในบริบทของสังคมไทยได้ (PubMed) ในระดับนโยบาย การปฏิรูปกฎหมายและนโยบายอย่างต่อเนื่อง การกำหนดนิยามการทารุณกรรมที่ไม่ใช่ทางกายภาพให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และการเพิ่มทรัพยากรด้านสุขภาพจิต ถือเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนเพื่อปกป้องกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดในสังคมไทย
สำหรับคนไทยและครอบครัว คำแนะนำที่นำไปปรับใช้ได้จริง ได้แก่ การเรียนรู้ที่จะสังเกตสัญญาณของการทารุณกรรมทางอารมณ์ (เช่น การปั่นหัว การวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุดหย่อน หรือการพยายามควบคุม) การส่งเสริมให้มีการพูดคุยกันอย่างเปิดอกในครอบครัวและกลุ่มเพื่อน การขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหรือหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ตั้งแต่เนิ่นๆ และการสนับสนุนให้ความรู้ในชุมชนเพื่อให้การพูดคุยเรื่องสุขภาพใจเป็นเรื่องปกติ เหนือสิ่งอื่นใด อยากให้คนไทยทุกคนตระหนักอยู่เสมอว่า ไม่มีใครสมควรถูกทำร้าย และความช่วยเหลือมีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางบริการของรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน หรือเครือข่ายสนับสนุนจากคนใกล้ชิด
ในสังคมที่ให้คุณค่ากับความปรองดองและการให้เกียรติซึ่งกันและกัน การทำความเข้าใจว่าการทารุณกรรมทางอารมณ์ แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็ทิ้งรอยแผลเป็นทางใจที่ยาวนานไว้ได้นั้น เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง การเผชิญหน้าและจัดการกับปัญหานี้ จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การสร้างสังคมที่พลเมืองทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางที่สุด สามารถใช้ชีวิต เรียนรู้ และเติบโตได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีความปลอดภัยทางใจอย่างแท้จริง