GotoKnow

ค้นพบ 'อีโก้ที่สงบ': กุญแจสู่ความสุขแท้จริงในยุคแห่งการอวดตัวตน

ทีมข่าวสาระความรู้
เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2568 08:22 น.

มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า การลดบทบาทของ “อัตตา” หรือ “อีโก้” ของเราลง ด้วยการลดการเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วหันมาใส่ใจในความอ่อนน้อมถ่อมตน การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นหนทางสำคัญสู่ความสุขและความเข้มแข็งทางใจที่ยั่งยืนกว่า ในยุคสมัยที่วัฒนธรรมกระแสหลักเต็มไปด้วยการเชิดชูคนที่โดดเด่น ชอบแสดงตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนโลกโซเชียลและในที่สาธารณะ ทำให้นักวิจัยรุ่นใหม่หันมาสนใจประโยชน์ทั้งทางด้านจิตใจและสังคมของการสร้างเสริมสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “อีโก้ที่สงบ” (quiet ego)

วิถีชีวิตในยุคปัจจุบันมักจะยกย่องคนที่กล้าแสดงออกและนำเสนอตัวเอง กระแสอินฟลูเอนเซอร์ที่เฟื่องฟู แรงกดดันที่ต้องสร้างตัวตนให้โดดเด่นบนโซเชียลมีเดีย และความจำเป็นที่จะต้องช่วงชิงความได้เปรียบในโลกของการทำงาน ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมพฤติกรรมการแสดงออกและยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทว่า บทความใน The Atlantic กลับชี้ให้เห็นว่า มีหลักฐานบ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเช่นนี้ เกิดขึ้นควบคู่ไปกับอัตราภาวะซึมเศร้าที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และสุขภาวะโดยรวมที่ถดถอยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนหนุ่มสาว

“อีโก้ที่สงบ” ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธตัวตน แต่คือแนวทางการมองตนเองอย่างสมดุล ที่ผสมผสานความเข้าใจในตนเองอย่างพอเหมาะเข้ากับการใส่ใจผู้อื่นอย่างแท้จริง แนวคิดนี้ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกโดยนักจิตวิทยาในปี 2008 และได้รับการพัฒนาต่อยอดผ่านงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ การมีอัตลักษณ์ที่เปิดกว้างและไม่กีดกัน (inclusive identity) การพยายามทำความเข้าใจมุมมองของผู้อื่น (perspective taking) การมีกรอบความคิดที่มุ่งเน้นการเติบโต (growth-mindedness) และการมีสติรู้เท่าทันอารมณ์และความคิดของตนเอง (detached awareness) ผู้ที่มีอีโก้ที่สงบจะไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตนเองจนเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยความเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่กับผู้อื่น พวกเขาสามารถสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และความอ่อนน้อมถ่อมตนได้อย่างกลมกลืน

งานวิจัยหลายชิ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้แสดงให้เห็นว่า การมีอีโก้ที่สงบสัมพันธ์อย่างยิ่งกับความพึงพอใจในชีวิตที่เพิ่มขึ้น ความสมดุลทางอารมณ์ที่ดีขึ้น และการมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนยิ่งขึ้น งานวิจัยชิ้นสำคัญ ที่ตีพิมพ์ในปี 2022 โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ แอมเฮิร์สต์ ค้นพบว่า เพียงแค่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อยตามแนวทางของอีโก้ที่สงบ ก็สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาวะทางใจที่ดี (psychological flourishing) และความฉลาดทางอารมณ์ (trait emotional intelligence) ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เผชิญความเครียดสูงจากการระบาดของโควิด-19 จากการทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม ผู้เข้าร่วมที่ได้รับมอบหมายให้ทบทวนและฝึกฝนคุณลักษณะทั้ง 4 ประการของอีโก้ที่สงบ ไม่เพียงแต่จะมีสุขภาวะที่ดีขึ้นในช่วงแรก แต่ยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้เวลาจะผ่านไปหนึ่งเดือน และที่สำคัญ ผลลัพธ์เชิงบวกนี้ยังคงปรากฏชัดเจนแม้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ทำกิจกรรมผ่อนคลายทั่วไป แต่ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่เรื่องอีโก้โดยเฉพาะ

ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังคุณประโยชน์เหล่านี้คือบทบาทของความฉลาดทางอารมณ์ หรือความสามารถในการเข้าใจและจัดการอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น งานวิจัยพบว่าอีโก้ที่สงบช่วยเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ให้สูงขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการมีสุขภาวะทางใจที่ดี สุขภาวะทางใจที่ดีในที่นี้ หมายถึงสภาวะที่สมบูรณ์พร้อม อันประกอบด้วยอารมณ์เชิงบวก ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น การค้นพบความหมายในชีวิต และความสามารถในการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคความท้าทาย

งานวิจัยชิ้นอื่นๆ ก็ให้ผลสนับสนุนในทิศทางเดียวกัน คุณลักษณะของอีโก้ที่สงบ ยังเชื่อมโยงกับความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจได้ดีขึ้น เช่น การสูญเสียงาน หรือความท้าทายในการดูแลบุตรที่มีความต้องการพิเศษ สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ที่มีอีโก้ที่สงบมักแสดงออกถึงการเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ความเป็นมิตร และความรับผิดชอบที่สูงกว่า รวมถึงยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างได้แม้ในสภาวะกดดัน (งานวิจัยของ Liu และคณะ, 2020) ในทางกลับกัน บุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง ชอบบงการ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กลุ่มบุคลิกภาพด้านมืด” (Dark Triad) นั้น ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาอีโก้ที่สงบแต่อย่างใด

สำหรับผู้อ่านในสังคมไทย ประเด็นนี้นับว่าน่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากประเทศไทยก็เป็นอีกสังคมหนึ่งที่กำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตที่ทวีความรุนแรงขึ้น ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็วและค่านิยมทางสังคมที่ผันแปรไป งานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเยาวชนไทย พบว่าสื่อสังคมออนไลน์มีส่วนกระตุ้นให้เกิดความกังวลเรื่องภาพลักษณ์ การแข่งขันเพื่อเรียกร้องความสนใจ และในบางครั้งก็นำไปสู่พฤติกรรมหลงตัวเอง ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบที่ยังไม่ชัดเจนนักต่อทักษะการสื่อสารและความภาคภูมิใจในตนเอง ในยุคที่แพลตฟอร์มดิจิทัลขยายทั้งพื้นที่แสดงออกของปัจเจกชนและแรงกดดันทางสังคม การส่งเสริมความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเห็นอกเห็นใจจึงอาจเปรียบเสมือนเกราะป้องกันผลกระทบทางจิตใจที่เกิดจากการโปรโมตตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับอุดมคติในพระพุทธศาสนาว่าด้วยความสมดุล การรู้เท่าทันตน และความเมตตากรุณา อันเป็นสิ่งที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมไทยมาช้านาน

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ แนวคิด “อีโก้ที่สงบ” นี้สอดคล้องกับหลักการสำคัญในจิตวิทยาเชิงพุทธแบบเถรวาท เช่น หลักอนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตน) ทั้งสองแนวทางล้วนสนับสนุนให้ผู้คนลดละการยึดมั่นในตัวตนที่ตายตัว พัฒนามุมมองต่ออารมณ์ความรู้สึกของตนให้กว้างไกลขึ้น และมองเห็นตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโดยรวม การฝึกสติและการตระหนักรู้ในกระบวนการทางความคิดของตนเอง (metacognitive awareness) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติสมาธิภาวนาแบบไทย ก็มีความคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับคุณลักษณะ “การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์และความคิด” ของอีโก้ที่สงบตามที่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ระบุไว้

แล้วเราจะสามารถบ่มเพาะ “อีโก้ที่สงบ” ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง? นักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรมได้เสนอแนวทางที่เรียบง่ายแต่ได้ผล นั่นคือ ลองหมั่นถามตัวเองว่าคนรอบข้างอาจต้องการความช่วยเหลืออะไรที่เราพอจะหยิบยื่นให้ได้บ้าง และเราจะสามารถช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราดีขึ้นได้อย่างไร นอกจากนี้ ลองฝึกพูดกับตัวเองทุกวันเพื่อเตือนสติ เช่น “ฉันอาจจะคิดผิดก็ได้” และ “ฉันไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกของฉัน” เพื่อเสริมสร้างความอ่อนน้อมถ่อมตนและความสมดุลทางอารมณ์ การฝึกฝนเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้อย่างมีสติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ สามารถจุดประกายการเติบโตของตัวตนที่สงบและเข้มแข็งยิ่งขึ้นได้

ในมิติของนโยบายสาธารณะ งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า สังคมจะได้รับประโยชน์อย่างมากหากมีการนำหลักการของอีโก้ที่สงบไปประยุกต์ใช้ในหลักสูตรการศึกษาและโครงการส่งเสริมสุขภาพจิต สถานศึกษาตั้งแต่ระดับโรงเรียน มหาวิทยาลัย ไปจนถึงองค์กรและสถานที่ทำงานในประเทศไทย สามารถจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ โดยเน้นการสร้างความเห็นอกเห็นใจ การทบทวนตนเอง และการมีอัตลักษณ์ที่เปิดกว้าง เพื่อสร้างสมดุลกับแรงกดดันที่อาจผลักดันให้เยาวชนมุ่งสู่การแข่งขันที่ไม่สร้างสรรค์ หรือการแสดงตัวตนในโลกดิจิทัลจนเกินพอดี อันที่จริง ประเทศไทยมีต้นทุนทางสังคมที่เอื้อต่อความพยายามดังกล่าวอยู่แล้ว วิถีชีวิตชุมชนและประเพณีการขัดเกลาทางจิตวิญญาณของไทย ล้วนมีตัวอย่างที่ดีของอีโก้ที่สงบในชีวิตจริงให้เห็นอยู่มากมาย ตั้งแต่โครงการสหกรณ์ในพื้นที่ชนบทไปจนถึงค่ายอบรมเยาวชนที่จัดขึ้นโดยวัดต่างๆ

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญได้เน้นย้ำว่า การปรับเปลี่ยนสังคมไปสู่ลักษณะนิสัยที่สมดุลยิ่งขึ้นนั้น จำเป็นต้องอาศัยความพยายามร่วมกันทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและระดับสังคม ผู้นำในแวดวงสื่อสารมวลชนและธุรกิจ ผู้กำหนดนโยบาย นักการศึกษา ตลอดจนผู้ปกครอง ล้วนมีบทบาทสำคัญในการเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตากรุณา และการเปิดใจกว้าง ดังที่นักจิตวิทยาอาวุโสท่านหนึ่งจากสถาบันแพทยศาสตร์ชั้นนำแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ได้ให้ทัศนะไว้ว่า “เพื่อรับมือกับภาวะหมดไฟและความรู้สึกแปลกแยกโดดเดี่ยวที่มาพร้อมกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เราจำเป็นต้องร่วมกันสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ ที่ให้ความสำคัญกับความเห็นอกเห็นใจและการเกื้อกูลกันในชุมชน ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความสำเร็จส่วนบุคคล”

เมื่อมองไปข้างหน้า การศึกษาค้นคว้าเรื่องอีโก้ที่สงบอย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตทั้งในระดับบุคคลและสังคม ในปัจจุบัน นักวิจัยกำลังศึกษาประสิทธิภาพของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามแนวทางอีโก้ที่สงบในบริบททางวัฒนธรรมที่หลากหลายทั่วโลก พร้อมทั้งสำรวจว่าเทคโนโลยีต่างๆ จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริม (แทนที่จะบั่นทอน) ความอ่อนน้อมถ่อมตนและการสร้างความผูกพันทางสังคมได้อย่างไร

สำหรับผู้อ่านชาวไทยที่กำลังมองหาแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ข้อคิดสำคัญที่ได้รับคือ การฝึกฝนให้ตระหนักรู้ในตนเองโดยไม่ยึดติดกับความสำคัญของตนเองจนเกินไป การผสมผสานความมุ่งมั่นตั้งใจส่วนตัวเข้ากับความเห็นอกเห็นใจผู้คนรอบข้าง และการตระหนักอยู่เสมอว่าสุขภาวะที่ดีนั้นเกิดจากการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับผู้อื่นและการพัฒนาตนเอง ไม่ใช่เพียงแค่ความสำเร็จส่วนตน ไม่ว่าจะเป็นการหมั่นทบทวนตนเองอย่างมีสติ การทำความดีเล็กๆ น้อยๆ เป็นอาจิณ หรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน การบ่มเพาะอีโก้ที่สงบล้วนเป็นหนทางสู่ความสุขที่ได้รับการยืนยันทั้งจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และสอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนทางจิตวิญญาณ

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติม ในปัจจุบันมีแหล่งข้อมูลมากมายที่พร้อมจะช่วยให้คุณเริ่มต้นเส้นทางสู่การมีอีโก้ที่สงบได้ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันฝึกสติที่พัฒนามาจากหลักการทำสมาธิแบบไทย ไปจนถึงโปรแกรมอบรมเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ การนำเครื่องมือทั้งสมัยใหม่และภูมิปัญญาดั้งเดิมเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ จะช่วยให้คนไทยสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจและความสมานฉันท์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสุขภาวะของคนในชาติสืบเนื่องกันมาอย่างยาวนาน

แหล่งข้อมูล:


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
MyThaiSpot
Healthy Travel, Thai Discoveries
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย