ในสัปดาห์ของการประชุมวิชาการรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ปี ๒๕๖๘ ระหว่าง ๒๗ มกราคม - ๒ กุมภาพันธ์ ผมไปนอนค้างที่โรงแรมเซนทารา แกรนด์ ราชประสงค์ ๖ คืน ที่ห้อง ๔๖๒๒ สุดหรู กินอาหารเช้าและเย็นที่ห้องอาหารพิเศษ ชั้น ๕๑ และมีเวลาอยู่กับตัวเองตอนตื่นนอนก่อนออกไปเดินอออกกำลังตอนเช้ามืด และตอนค่ำก่อนนอน จึงได้โอกาสสะท้อนคิดชีวิตยามชราของผม เอามาแลกเปลี่ยน
ผมบอกตัวเองว่า แม้ชีวิตของผมจะเกิดมาเป็นเด็กบ้านนอก เกิดมาแบบ “ตกฟาก” ด้วยฝีมือทำคลอดของ ยายอุ่น “แม่ทาน” (ภาษาใต้ แปลว่าหมอตำแย) ที่พอเดินได้ก็อยู่บ้านไม้ไผ่ที่พื้นบ้านเป็นไม้ไผ่สานที่เรียกว่า “ฟาก” ที่ผมพอจะจำได้ว่า เพราะเท้าเด็กเล็กนิดเดียว เท้าของผมจึงเข้าไปขัดกับร่องของฟากไม้ใผ่บ่อยๆ และร้องไห้จ้า แม่ต้องเข้ามาช่วย ผมสะท้อนคิดตอนนี้ว่า เป็นเพราะผมเป็นเด็กบกพร่องของสมองด้านการเคลื่อนไหว ที่เรียกว่า coordination ที่ติดตัวมาตลอด ทำให้ผมไม่สามารถเข้าสังคมการเล่นและการกีฬาได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป จึงหันมาเอาดีด้านการเรียนหนังสือ
เพราะเข้าสังคมไม่เก่ง ผมจึงเป็นเด็กเก็บกด คิดมาก ผู้ใหญ่สั่งสอนอย่างไรก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และบางครั้งก็เถียงผู้ใหญ่ หรือแม้ไม่เถียงก็ปิดไม่มิดเพราะสายตามันฟ้องว่าไม่เห็นด้วย จึงโดนแม่เฆี่ยนตีเป็นประจำวัน เพราะรักและเป็นห่วงลูกชายคนโต ว่าโตขึ้นจะเสียคนเพราะสั่งสอนไม่เชื่อฟัง เข้าใจว่าตอนนั้นเมื่อแม่สั่งสอน แล้วจ้องตาผม แม่ก็เตรียมไม้เรียว (หลายครั้งเป็นก้านมะยม ที่ปลูกไว้ข้างบ้าน) ไว้เฆี่ยนผมแล้ว
แต่ทารุณกรรมจากการเฆี่ยนตี ก็แพ้พลังความรักแบบไร้เงื่อนไขของแม่ที่ให้แก่ผม โชคดีที่ญาติพี่น้องในบ้านคอยปลอบโยนและชี้ให้เห็นว่าแม่เฆี่ยนเพราะรัก ช่วยให้ผมรอดพ้นจากโรค PTSD – Post Traumatic Stress Disorder ไปได้ หนุนด้วยความบังเอิญที่เรียนหนังสือเก่ง เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่
ตัดมาสู่ชีวิตยามชราย่าง ๘๓ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๖๘ ผมได้พลัง “เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง” ที่สมาทานมาตลอดชีวิต เอามาทำงานสร้างคุณค่าแก่ชีวิตยามชรา คือคุณค่าของการเรียนรู้จากประสบการณ์ ขณะพิมพ์บันทึกในห้องพัก ๔๖๒๒ โรงแรมเซนทาราแกรนด์ ราชประสงค์ เวลา ๔.๕๘ น. วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ผมมุ่งเรียนรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรม PMAC 2025 เพื่อทำความเข้าใจว่า โลกและสังคมไทยหลังจากชีวิตผมหาไม่แล้ว เขาจะอยู่กันอย่างไร
ได้คำตอบว่า ชีวิตของคนในอนาคตจะอยู่กันแบบ “ไม่เหมือนเดิม” ระบบสุขภาพจะเปลี่ยนโฉมไปโดยสิ้นเชิง ด้วยพลังของไอทีและเอไอ ผสานกับพลังของการสร้างระบบขึ้นมาใช้ไอทีและเอไอไปในทางบวก ที่เอื้อประโยชน์แก่พหุชน สมดุลกับประโยชน์เชิงธุรกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ที่ผมมีโอกาสทำงานให้แก่มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ก็เพื่ออุดมการณ์ “เพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์” ตามรอยพระยุคลบาทของสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ
บรรยากาศส่วนซ่อนเร้น ในงานนี้ สอนผมว่า ชีวิตมนุษย์อยู่กับระบบนิเวศสองด้านตลอดเวลา คือด้านบวก (ที่สนองกุศล หรือผลประโยชน์ส่วนรวม) กับด้านลบ (ที่สนองกิเลส หรือผลประโยชน์ส่วนตัว) ผมมีบุญ ที่ชีวิตอยู่กับฝ่ายแรกมาตลอด และมีโอกาสได้เรียนรู้ข้อมูลจากฝ่ายหลังอยู่บ้าง ช่วยให้ผมได้เอามาใคร่ครวญไตร่ตรองสะท้อนคิด
ว่าชีวิตมนุษย์ กับชีวิตของระบบสุขภาพ (Health Systems) หรือสุขภาพโลก (Global Health) ก็ทำนองเดียวกัน ที่ปัจจัยบวกกับปัจจัยลบ อยู่ในที่เดียวกันหรือเรื่องเดียวกัน ดังกรณีการประชุม PMAC 2025 เรื่องเทคโนโลยีสุขภาพ ที่พระเอก/นางเอก คือ เอไอ เป็นซาตานก็ได้ ขึ้นกับมนุษย์ว่าจะสร้างระบบขึ้นมากำกับอย่างไร และระบบที่สร้างขึ้นนั้นย่อมขึ้นกับค่านิยมของมนุษย์ ว่านิยมผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นค่านิยมหลัก ผมโชคดี ที่นิยมผลประโยชน์ส่วนรวมมาโดยตลอด ทำให้ผมรู้จักคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่า trust ที่พูดกันมากในการประชุม PMAC 2025 นี้ ที่ผมได้รับความเชื่อถือ ว่าทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการจัดการประชุมนานาชาติ ของ PMAC มา ๑๙ ปี โดยมุ่งทำให้ PMAC ก่อประโยชน์แก่ระบบสุขภาพโลก
วิจารณ์ พานิช
๒ ก.พ. ๖๘
ห้อง ๔๖๒๒ โรงแรมเซนทารา แกรนด์