หน้าแรก
สมาชิก
opgkm
สมุด
เวทีเรียนรู้ของที...
โครงการพัฒนาประสิ...
opgkm
กิติมาภรณ์ จิตราทร
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
โครงการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานด้วยหลักสุขภาวะ กทม.
เป้าหมาย : โครงการต้องการส่งเสริมและสนับสนุนให้ข้าราชการและลูกจ้าง ทั้งในหน่วยงานของสำนักราชเลขาธิการ และหน่วยงานใกล้เคียงอื่น ๆ นำหลักสุขภาวะมาใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านการนำมาใช้กับตนเอง รวมถึงนำมาใช้ประสานงานกับผู้ติดต่อราชการส่วนต่าง ๆ
โครงการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานด้วยหลักสุขภาวะ กทม.
1.
คำสำคัญ
:
สุขภาวะ ประสิทธิภาพการทำงาน
2.
จังหวัด
:
กรุงเทพฯ
3.
กลุ่มเป้าหมาย
:
บุคลากรในองค์กรสำนักราชเลขาธิการและหน่วยงานใกล้เคียง
4.
เป้าหมาย
:
โครงการต้องการส่งเสริมและสนับสนุนให้ข้าราชการและลูกจ้าง ทั้งในหน่วยงานของสำนักราชเลขาธิการ และหน่วยงานใกล้เคียงอื่น ๆ นำหลักสุขภาวะมาใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านการนำมาใช้กับตนเอง รวมถึงนำมาใช้ประสานงานกับผู้ติดต่อราชการส่วนต่าง ๆ
5.
สาระสำคัญของโครงการ
:
เมื่อหัวหน้าโครงการย้ายมาทำงานที่กองการเจ้าหน้าที่ ก็มีความคิดว่าบุคลากรของหน่วยงานมีความเครียด ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานให้ต่ำลง จึงหาแนวทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเห็นว่าต้องเริ่มจากการสร้างสุขภาวะ (ทั้งทางกาย ใจ และสังคม) จึงเลือกกิจกรรมออกกำลังที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถร่วมได้ คือโยคะ ส่วนการอบรมเทคนิคทางจิตวิทยา เป็นการจัดเฉพาะกองนิติการโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องรับฎีกา มีความเครียดสูง และต้องติดต่อกับประชาชนที่มีความเครียดด้วย จึงจัดอบรมพิเศษเพื่อให้ความรู้เรื่องเทคนิคการติดต่อ การผ่อนคลายความเครียดจองเจ้าหน้าที่เอง
ซึ่งในช่วงทำโครงการ ยังมีการจัดนักจิตบำบัดไว้ให้เจ้าหน้าที่ทุกคนสามารถโทรไปปรึกษาได้ตลอดปีด้วย ส่วนกิจกรรมการบรรยายเรื่อง
“
การทำงานอย่างมีความสุข
”
เพื่อเสริมให้เกิดทัศนคติที่ดี และการสร้างสุขภาวะกับเจ้าหน้าและทำงานได้อย่างมีความสุข
6.
เครื่องมือที่ใช้
:
กิจกรรมหลักมี
3
ส่วนคือ (
1
) อบรมและบริหารร่างกายแบบโยคะ (
2
) อบรมเทคนิควิธีการทางจิตวิทยาในการประสานงานราชการ
(
3
) บรรยายพิเศษ เรื่อง
“
การทำงานอย่างมีความสุข
”
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสริมด้วยการจัดนักจิตบำบัดไว้ให้คำปรึกษาตลอดปีด้วย
7.
การจัดระบบ โครงสร้าง กระบวนการทำงาน
:
ทีมงานมาคุยกันเรื่องจะทำงานอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ และลงความเห็นว่าสุขภาพที่ดีต้องมาก่อน จึงจะส่งผลต่อการทำงาน จากนั้นจึงได้เลือกการสร้างสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ ส่วนใหญ่เห็นว่าโยคะเป็นกิจกรรมที่ได้ทั้งการออกกำลังกายและสมาธิ รวมทั้งทุกเพศทุกวัยสามารถร่วมได้ ใช้พื้นที่ไม่มาก ด้วยเหตุนี้จึงเลือกโยคะเป็นกิจกรรมแรก โดยทีมงานได้ติดต่อครูมืออาชีพจากจากมูลนิธิสัตยาไส
อาศรมวัฒนธรรมไทยภารตะ ซึ่งมีใบรับรองการสอนอย่างถูกต้อง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีทั้งจากคนในองค์กร (สำนักราชเลขาธิการ) และนอกองค์กร เช่น สำนักพระราชวัง ราชบัณฑิตยสถาน อาจารย์มหาวิทยาลัย ฯลฯ ในส่วนของสุขภาพจิต ทีมงานเห็นว่ากองนิติการซึ่งทำงานด้านรับฎีกา เป็นเรื่องร้องทุกจากชาวบ้านทำให้มีความเครียดมากที่สุด จึงเน้นที่การสร้างเสริมเทคนิควิธีการติดต่อกับประชาชนที่มายื่นฎีกา ซึ่งมีความเครียด ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเรียนรู้เทคนิคการติดต่อ ปรสานงาน ช่วยลดความเครียดให้กับผู้มาติดต่อและลดความเครียดของเจ้าหน้าที่เองด้วย
หลังจัดกิจกรรมสักระยะหนึ่งก็มีการกระตุ้นความสนใจจากบุคลากรในองค์กรให้หันมาสนใจเรื่องสุขภาพกับการทำงาน ด้วยการจัดบรรยายพิเศษเรื่อง
“
การทำงานอย่างมีความสุข
”
และเลือกเชิญคนที่มีชื่อเสียง มีความรู้จริงเรื่องสุขภาพมาพูดคุย เช่น พญ.
จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ
จากกระทรวงสาธารณสุข นพ.ดร.
ชัยชนะ นิ่มนวล
จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ดร.
สาทิส อินทรกำแหง
ฯลฯ เป็นต้น
8.
ขอบเขตและระยะเวลาดำเนินโครงการ
:
ดำเนินการ
1
ปี (
16
มิถุนายน
2546 – 16
มิถุนายน
2547
)
โดยโยคะมีจำนวนผู้เข้าร่วมทั้งในหน่วยงานและนอกหน่วยงาน แต่และครั้งมีจำนวนไม่เท่ากัน บางครั้งคนที่ลงชื่อแต่ไม่มาก็มี ส่วนการอบรมจิตวิทยามีผู้เข้าร่วม
30
คน และการบรรยายมีคนฟัง
300
คน
9.
การประเมินผลและผลกระทบ
:
ทีมงานประเมินว่ากิจกรรมที่ทำประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เนื่องจากการตอบรับจากเจ้าหน้าที่ทั้งในองค์กรและนอกหน่วยงาน นอกจากนี้เมื่อจบโครงการไปยังมีการดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องมาได้โดยไม่ต้องขอทุน ส่วนการอบรมจิตวิทยา เจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมก็ให้ความเห็นว่าเป็นประโยชน์มาก เพราะได้เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน นอกจากนี้ยังมีการขยายการดูแลสุขภาพใจหรือการอบรมจิตวิทยาได้เข้าไปอยู่ในแผนพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง แต่เปลี่ยนชื่อไปเป็นกิจกรรมอบรมนพลักษณ์ ซึ่งขอทุนจาก สสส. ในปีแรก และหลังจากนั้นหน่วยงานก็สนับสนุนค่าใช้จ่ายเอง
10.
ความยั่งยืน
:
แม้การอบรมโยคะจะเลิกไปแล้ว (เพราะเจ้าหน้าที่ย้ายออกเป็นจำนวนมาก) แต่การอบรมจิตวิทยา (นพลักษณ์) ยังมีการดำเนินต่อมาถึง
4
รุ่น และเจ้าหน้าที่ยังให้ความสนใจ เนื่องจากมีการจัดอบรมตามขั้นราชการ (ซี) ทำให้พนักงานระดับล่างยังไม่ได้เข้ารับการอบรมอีกหลายคน ซึ่งหน่วยงานมีแผนที่จะจัดอบรมทางจิตวิทยาต่อไป ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเป็นกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ใสนการทบทวนตนเองและการติดต่อประสานงานกับคนอื่น ๆ จึงทำให้หน่วยงานสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
11.
จุดแข็ง และ อุปสรรค
:
จุดแข็งอยู่ที่ตัวผู้ทำโครงการซึ่งเลือกกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของเจ้าหน้าที่พอดี เมื่อจัดกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นโยคะหรืออบรมจิตวิทยาจึงได้รับการตอบรับจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอบรมจิตวิทยานั้นเกิดประโยชน์โดยตรงต่อการทำงาน ทำให้ต้นสังกัดรับเข้าเป็นแผนงานประจำองค์กร ส่วนอุปสรรคที่ทีมงานมองเห็น คิดว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนมีภารกิจมาก หลายกิจกรรมยังไม่เกิดความต่อเนื่อง เช่น การออกกำลังกาย นอกจากนี้การทำงานไม่เป็นเวลาก็มีส่วนต่อการดูแลสุขภาพของเจ้าหน้าที่ ทำให้หลายคนยังไม่สนใจร่วมกิจกรรมเพื่อสุขภามากเท่าที่คาดหวัง
12.
ที่ติดต่อ
:
สำนักราชเลขาธิการ
พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
10200
ดร.อรสุดา
เจริญรัถ
01-947-9301, 02-2221045
ต่อ
3137
เขียนใน
GotoKnow
โดย
opgkm
ใน
เวทีเรียนรู้ของทีมOpg KM
คำสำคัญ (Tags):
#สุขภาวะ
#ประสิทธิภาพการทำงาน
หมายเลขบันทึก: 72083
เขียนเมื่อ 11 มกราคม 2007 13:10 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:00 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
opgkm
สมุด
เวทีเรียนรู้ของที...
โครงการพัฒนาประสิ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท