เพื่อเป็นโรงเรียนคุณภาพสูง โรงเรียนต้องไม่ทำงานแบบโดดเดี่ยว ต้องหาคู่คิดคู่ร่วมมือ รายการ Family and Community Engagement in Schools จัดโดย Harvard Graduate School of Education เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ บอกว่า โรงเรียนต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับผู้ปกครองนักเรียนและกับชุมชน คือต้องเชื่อมโยงกับครอบครัวและชุมชนเพื่อรับฟังความต้องการ และในขณะเดียวกันก็เพื่อแสวงหาความร่วมมือซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยกันเอื้อให้นักเรียนพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ และครบด้าน
วิทยากรท่านหนึ่งคือ ศาสตราจารย์ Karen Mapp เป็นทั้งนักทฤษฎีและนักปฏิบัติด้าน การเป็นหุ้นส่วนระหว่างบ้านกับโรงเรียน (๑) ท่านได้ตีพิมพ์หนังสือ Partners in Education : A Dual Capacity-Building Framework for Family – School Partnership ที่อ้างผลงานวิจัยว่ามี ๕ ปัจจัยที่ทำให้ห้องเรียนมีพลัง ดังนี้
ที่ผมขอสะท้อนคิดว่า ยังตกปัจจัยที่ ๖ ไป คือ reflection – การชวนนักเรียนสะท้อนคิดบ่อยๆ หลังทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ เน้นสะท้อนคิดสู่หลักการ ซึ่งในการนี้ การตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นการสะท้อนคิดจะช่วยมาก
ศ. คาเรน แม็ปป เสนอกรอบความคิดและแนวทางสร้างความสามารถสองฝ่าย คือฝ่ายโรงเรียน กับฝ่ายครอบครัว ที่นำสู่ความสัมพันธ์เชิงบวก มีความเชื่อมั่นและความเคารพซึ่งกันและกัน ที่ช่วยหนุนการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างทรงพลัง ที่เรียกว่า The Dual Capacity-Building Framework for Family – School Relationships เน้นที่การพัฒนา 4Cs ของทั้งสองฝ่าย ดังแสดงในภาพที่คัดลอกมาจากหนังสือ แสดงในหน้าถัดไป
อ่านเอกสารแล้วจะพบว่า เป้าหมายสุดท้ายที่ student achievement และ school improvement ยังน้อยไป ยังมีผลต่อการเรียนรู้และปรับตัวของครอบครัวด้วย รวมทั้งเกิดความสัมพันธ์ช่วยเหลือกันระหว่างครอบครัว ที่อาจนำสู่ความสามัคคีกลมเกลียวกันในชุมชน ผ่านการมี facilitator ตั้งคำถามให้ผู้ปกครองนักเรียนสะท้อนคิด เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครอง ซึ่งในความเป็นจริงมีทั้งด้านบวกและด้านลบ แต่หากมีการกระตุ้นด้วยคำถามเชิงบวก ผู้ปกครองก็จะเห็นโอกาสใช้ลูกหลานเป็นเครื่องมือสร้างความสัมันธ์เชิงบวกระหว่างกัน
เขาย้ำในตอนท้ายว่า ความร่วมมือที่ดีและยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ทั้งฝ่ายครูและฝ่ายครอบครัว ต้องมีสมรรถนะในการร่วมมือกันแบบหุ้นส่วน
วิจารณ์ พานิช
๗ ธ.ค. ๖๗