มาตุโปสกชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๑๑. เอกาทสกนิบาต
๑. มาตุโปสกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๔๕๕)
ว่าด้วยพญาช้างเลี้ยงมารดา
(มารดาพระโพธิสัตว์ได้กล่าวคร่ำครวญว่า)
[๑] เพราะพญาช้างเผือกนั้นจากไป ไม้อ้อยช้าง ไม้โมกมัน ไม้ช้างน้าว หญ้างวงช้าง ข้าวฟ่างและลูกเดือยก็เจริญงอกงาม อนึ่ง ต้นกรรณิการ์ทั้งหลายที่เชิงเขาก็ออกดอกบานสะพรั่ง
[๒] ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือเมืองไหนก็ตาม พระราชา หรือราชมหาอำมาตย์ผู้มีเครื่องประดับทองคำ ย่อมจะบำรุงเลี้ยงซึ่งพญาช้าง ที่พระเจ้าแผ่นดิน หรือพระราชโอรสทรงใช้ประทับทรง ไม่ครั่นคร้ามอาจสังหารศัตรูได้ด้วยอาหาร
(พระราชาทรงขอร้องพญาช้างนั้นว่า)
[๓] พญาช้างจงรับเอาอาหารเถิด อย่าได้ผ่ายผอมเลย งานหลวงนั้นยังมีอยู่เป็นอันมาก ที่ท่านจะกระทำต่อไป
(พระโพธิสัตว์ฟังพระดำรัสนั้นแล้วจึงกราบทูลว่า)
[๔] นางช้างนี้นั้นน่าสงสารจริง ตาบอด ไม่มีผู้นำทาง เท้าคงจะสะดุดตอดิ้นรนไปจนถึงภูเขาจัณโฑรณะแน่นอน
(พระราชาตรัสถามว่า)
[๕] พญาช้าง นางช้างตาบอดไม่มีผู้นำทาง เท้าสะดุดตอดิ้นรนไปจนถึงภูเขาจัณโฑรณะ นางช้างเชือกนั้นเป็นอะไรกับเจ้า
(พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
[๖] ขอเดชะพระมหาราช นางช้างตาบอดไม่มีผู้นำทาง เท้าสะดุดตอดิ้นรนไปจนถึงภูเขาจัณโฑรณะ นางช้างเผือกนั้นเป็นมารดาของข้าพระพุทธเจ้าเอง
(พระราชาสดับเหตุผลนั้นแล้วจึงได้ตรัสว่า)
[๗] ท่านทั้งหลายจงปล่อยพญาช้างที่เลี้ยงมารดานี้ไป ขอพญาช้างจงอยู่ร่วมกับมารดาและพวกญาติทั้งปวงเถิด
(พระศาสดาตรัสคาถาต่อไปว่า)
[๘] พญาช้างพอพ้นจากเครื่องผูก ซึ่งพระเจ้ากาสีทรงสั่งกลับ พักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ไปยังภูเขา
[๙] ต่อแต่นั้นมา พญาช้างได้ไปยังสระบัวที่มีน้ำเยือกเย็น ซึ่งพวกช้างอาศัยอยู่ ใช้งวงนำน้ำมาพ่นรดมารดา
(มารดาพระโพธิสัตว์เมื่อจะด่าจึงกล่าวว่า)
[๑๐] ฝนอะไรนี้ไม่ดีเลย ไม่ตกต้องตามฤดูกาล ลูกรักของเราที่คอยดูแลปรนนิบัติเราก็พลอยหายไปด้วย
(พระโพธิสัตว์เมื่อจะปลอบโยนมารดาจึงกล่าวว่า)
[๑๑] ลุกขึ้นเถิดแม่ มัวนอนอยู่ทำไม ลูกรักของแม่มาแล้ว พระเจ้ากาสีผู้ปรีชาญาณ มีบริวารยศทรงปล่อยลูกมาแล้ว
(มารดาพระโพธิสัตว์เมื่อจะอนุโมทนาจึงกล่าวว่า)
[๑๒] ขอพระราชาผู้ทรงทนุบำรุงแคว้นกาสีให้เจริญรุ่งเรือง ซึ่งทรงปล่อยลูกของเราผู้ประพฤติอ่อนน้อม ต่อผู้หลักผู้ใหญ่ทุกเมื่อ ขอจงทรงมีพระชนมายุยืนนาน
มาตุโปสกชาดกที่ ๑ จบ
---------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
มาตุโปสกชาดก
ว่าด้วย พญาช้างผู้เลี้ยงมารดา
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดา จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบัน เสมือนกับ เรื่องสามชาดก นั่นเอง.
ก็พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ายกโทษภิกษุนี้เลย โปราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้บังเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานพรากจากมารดา ซูบซีดไปเพราะอดอาหาร ๗ วัน แม้ได้โภชนะอันสมควรแก่พระราชา คิดว่า พวกเราเว้นจากมารดาเสีย จักไม่บริโภค พอเห็นมารดาก็ยึดถือเอาอาหารดังนี้แล้ว
อันภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา จึงนำอดีตนิทานมาว่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยพระราชสมบัติในกรุงพาราณสี ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้างในหิมวันตประเทศ ได้เป็นสัตว์เผือกปลอดมีรูปงามน่าชมน่าเลื่อมใส สมบูรณ์ด้วยลักษณะ กระทำความเจริญโดยลำดับ มีช้าง ๘๐,๐๐๐ เชือกเป็นบริวาร.
ส่วนมารดาของท่านเป็นช้างบอด แต่ท่านได้ให้ผลไม้มีรสอร่อยแก่ช้างทั้งหลาย แล้วส่งไปยังสำนักของมารดา ช้างทั้งหลายไม่ได้ให้แก่มารดาเลย เคี้ยวกินด้วยตนเอง. ท่านกำหนดรู้เรื่องนั้นคิดว่า เราจักละโขลงแล้ว เลี้ยงแต่มารดาเท่านั้น ครั้นถึงส่วนแห่งราตรี เมื่อช้างเหล่าอื่นไม่รู้อยู่ จึงพามารดาไปยังเชิงเขาชื่อว่าจัณโฑรณะ แล้วพักมารดาไว้ที่ถ้ำแห่งภูเขา ซึ่งอยู่ติดแถบอีกข้างหนึ่งแล้วเลี้ยงดู.
ลำดับนั้น พรานไพรชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่งเป็นคนหลงทาง เมื่อไม่อาจกำหนดทิศได้ จึงร้องไห้ด้วยเสียงอันดังลั่น. พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงของพรานไพรนั้น คิดว่า บุรุษนี้เป็นคนไร้ที่พึ่ง ข้อที่เขาพึงพินาศไปในที่นี้ เมื่อเรายังอยู่ ไม่สมควรแก่เราเลย ดังนี้แล้วจึงไปหาเธอ เห็นเธอกำลังหนีไปด้วยความกลัว จึงถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านไม่มีภัยเพราะอาศัยเรา ท่านอย่าหนีไปเลย เพราะเหตุไร ท่านจึงเที่ยวร้องไห้ร่ำไรอยู่เล่า
เมื่อเขากล่าวว่า ข้าแต่นาย กระผมเป็นคนหลงทาง วันนี้เป็นวันที่ ๗ สำหรับผม จึงกล่าวว่า
ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านอย่ากลัวเลย เราจักวางท่านไว้ในถิ่นมนุษย์ ดังนี้แล้ว ให้เขานั่งบนหลังตน นำออกจากป่าแล้วกลับไป ฝ่ายเขาเป็นคนชั่วคิดว่า เราไปยังนครแล้วจักทูลแก่พระราชา ดังนี้แล้ว จึงทำต้นไม้เป็นเครื่องหมาย ทำภูเขาเป็นเครื่องหมาย ได้ออกไปยังกรุงพาราณสี.
ในกาลนั้น ช้างมงคลของพระราชาได้ทำกาละไป พระราชาตรัสสั่งให้ตีกลองร้องประกาศว่า ถ้าใครๆ เห็นช้างตัวเหมาะที่ส่งเสียงร้องในที่ใดที่หนึ่ง ผู้นั้นจงบอก. บุรุษนั้นเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้ว ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ได้เห็นพญาช้างตัวมีสีเผือกปลอด เหมาะเพื่อจะทำการฝึก ข้าพระองค์จักแสดงหนทาง ขอพระองค์จงส่งนายหัตถาจารย์ พร้อมกับข้าพระองค์ ไปให้จับช้างนั้นเถิด. พระราชาตรัสรับคำแล้วจึงตรัสว่า พวกเธอจงทำผู้นี้ให้เป็นผู้นำทางไปยังป่านำพญาช้างที่บุรุษนี้พูดไว้ ดังนี้แล้วพร้อมด้วยบุรุษนั้น จึงส่งนายหัตถาจารย์พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก. นายหัตถาจารย์ไปกับบุรุษนั้น เห็นช้างพระโพธิสัตว์กำลังเข้าไปยังที่ซ่อนเร้น กำลังถือเอาอาหาร.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เห็นนายหัตถาจารย์แล้วอธิษฐานว่า ภัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้อื่น ชะรอยจักเกิดขึ้นจากสำนักบุรุษชั่วนี้นั้น ฝ่ายเราแลเป็นผู้มีกำลังมาก และสามารถจะกำจัดช้างได้ตั้ง ๑,๐๐๐ เชือก ครั้นโกรธแล้วสามารถจะนำพาหนะของนายทัพ พร้อมทั้งแว่นแคว้นให้พินาศไปได้ เพราะฉะนั้น วันนี้เขาเอาหอกตอกศีรษะเรา เราก็ไม่โกรธ ดังนี้แล้ว จึงน้อมศีรษะลงได้ยืนนิ่งเฉย. นายหัตถาจารย์ลงสู่สระปทุม เห็นความสมบูรณ์แห่งลักษณะของพระโพธิสัตว์นั้น จึงกล่าวว่า มาเถอะพ่อ แล้วจับงวงอันเสมือนกับพวงเงิน ในวันที่ ๗ จึงถึงกรุงพาราณสี.
ฝ่ายมารดาพระโพธิสัตว์ เมื่อบุตรยังไม่มาจึงคร่ำครวญว่า ชะรอยว่า พระราชาและมหาอำมาตย์ของพระราชา นำเอาบุตรของเราไป บัดนี้ หมู่ป่าไม้นี้จักเจริญ เพราะอยู่ปราศจากช้างนั้น ดังนี้จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
ไม้อ้อยช้าง ไม้มูกมัน ไม้ช้างน้าว หญ้างวงช้าง ข้าวฟ่าง และลูกเดือย งอกงามขึ้นแล้วเพราะพญาช้างนั้นพลัดพรากไป อนึ่ง ต้นกรรณิการ์ทั้งหลายที่เชิงเขาก็เผล็ดดอกบาน.
พระราชาหรือพระราชกุมารประทับนั่งบนคอพญาช้างใดซึ่งไม่มีความสะดุ้ง ย่อมกำจัดเสียซึ่งปัจจามิตรทั้งหลาย อิสรชนผู้ประดับด้วยอาภรณ์อันงดงามผู้หนึ่ง ย่อมเลี้ยงดูพญาช้างนั้นด้วยก้อนข้าว.
ฝ่ายนายหัตถาจารย์ดำเนินไป ในระหว่างทางส่งสาส์นไปถึงพระราชา พระราชาตรัสสั่งให้ตบแต่งพระนคร. ฝ่ายนายหัตถาจารย์นำพระโพธิสัตว์ที่เขาประพรมด้วยของหอม ประดับตกแต่งเข้าไปยังโรงช้าง ให้ล้อมด้วยม่านอันวิจิตร ให้ผูกเพดานอันวิจิตรไว้ข้างบน แล้วให้กราบทูลแด่พระราชา พระราชาทรงนำโภชนะมีรสอันเลิศต่างๆ มาให้แก่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์คิดว่า เราเว้นมารดาเสียจักไม่ยอมรับอาหาร ดังนี้แล้วจึงไม่รับอาหาร.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะทรงอ้อนวอนพระโพธิสัตว์ จึงตรัสคาถาที่ ๓ ว่า
ดูก่อนพญาช้างตัวประเสริฐ เชิญพ่อรับเอาคำข้าวเถิด อย่าได้ผ่ายผอมเลย ราชกิจมีเป็นอันมาก ท่านจักต้องทำราชกิจเหล่านั้น.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า
นางช้างนั้นเป็นกำพร้า ตาบอด ไม่มีผู้นำทาง คงจะสะดุดตอไม้ล้มลงตรงภูเขาจัณโฑรณะเป็นแน่.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัสถามพระโพธิสัตว์ จึงตรัสคาถาที่ ๕ ว่า :-
ดูก่อนพญาช้าง นางช้างตาบอดหาผู้นำทางมิได้ คงจะสะดุดตอไม้ล้มลงตรงภูเขาจัณโฑรณะนั้น เป็นอะไรกับท่านหรือ ?
พระโพธิสัตว์กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า :-
ข้าแต่พระมหาราชา นางช้างตาบอดไม่มีผู้นำทาง คงจะสะดุดตอไม้ล้มลงตรงภูเขาชื่อจัณโฑรณะนั้น เป็นมารดาของข้าพระองค์.
พระราชาทรงสดับเนื้อความแห่งคาถาที่ ๖ นั้น เมื่อจะให้ปล่อยไป จึงตรัสคาถาที่ ๗ ว่า
พญาช้างนี้ย่อมเลี้ยงดูมารดา ท่านทั้งหลายจงปล่อยพญาช้างนั้นเสียเถิด พญาช้างตัวประเสริฐจงอยู่ร่วมกับมารดา พร้อมด้วยญาติทั้งหลายเถิด.
พญาช้างนี้กล่าวว่า ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์เลี้ยงมารดาตาบอด เว้นข้าพระองค์เสีย มารดาของข้าพระองค์ก็จักถึงความสิ้นชีวิต เว้นมารดาเสีย ข้าพระองค์ไม่มีความต้องการด้วยความเป็นใหญ่เลย วันนี้ เมื่อมารดาของข้าพระองค์ไม่ได้อาหารเป็นวันที่ ๗ เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงปล่อยพญาช้างที่เลี้ยงมารดานี้ พญาช้างนั้นจงมาอยู่ร่วมกับมารดา พร้อมด้วยญาติทั้งหมด.
อภิสัมพุทธคาถาที่ ๘ และที่ ๙ มีดังนี้
พญาช้างอันพระเจ้ากาสีทรงปล่อยแล้ว พอหลุดพ้นจากเครื่องผูก พักอยู่ครู่หนึ่ง ได้ไปยังภูเขา จากนั้นเดินไปสู่สระบัวอันเย็นที่เคยซ่องเสพมา แล้วดูดน้ำด้วยงวงมารดมารดา.
ได้ยินว่า พญาช้างนั้นพ้นจากเครื่องผูก พักอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วแสดงธรรมแก่พระราชาด้วยทศพิธราชธรรมคาถาแล้วให้โอวาทว่า ข้าแต่พระมหาราชา ขอพระองค์จงอย่าเป็นผู้ประมาทเลยอันมหาชนบูชาอยู่ด้วยเครื่องสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ออกจากพระนครถึงสระปทุมนั้น ในขณะนั้นนั่นเอง คิดว่า เราไม่ให้มารดาของเรารับเอาอาหาร เราเองก็จักไม่รับ ดังนี้แล้ว จึงถือเอารากเหง้าบัวเป็นอันมาก จึงใช้งวงดูดน้ำจนเต็มออกจากที่เร้นในถ้ำ ไปยังสำนักมารดาตัวนอนอยู่ที่ประตูถ้ำ รดน้ำบนศีรษะเพื่อให้ร่างของมารดาได้สัมผัส เพราะอดอาหารมาตั้ง ๗ วัน.
พระศาสดา เมื่อจะทรงทำให้แจ้งซึ่งความนั้น จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาเหล่านี้.
ฝ่ายมารดาของพระโพธิสัตว์จึงว่ากล่าวเธอ ด้วยความสำคัญว่าฝนตก
แล้วกล่าวคาถาที่ ๑๐ ว่า
ฝนอะไรนี้ไม่ประเสริฐเลย ย่อมตกโดยกาลที่ไม่ควรตก บุตรเกิดในตนของเรา เป็นผู้บำรุงเราไปเสียแล้ว.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ เมื่อจะให้มารดาสบายใจ จึงกล่าวคาถาที่ ๑๑ ว่า
เชิญท่านลุกขึ้นเถิด จะมัวนอนอยู่ทำไม ฉันเป็นลูกของแม่มาแล้ว พระเจ้ากาสีผู้ทรงพระปรีชาญาณมีบริวารยศใหญ่หลวงทรงปล่อยมาแล้ว.
นางช้างดีใจ เมื่อจะทำอนุโมทนาแด่พระราชา จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า
พระราชาพระองค์ใดทรงปล่อยลูกของเรา ตัวประพฤติอ่อนน้อมต่อบุคคลผู้เจริญทุกเมื่อ ขอพระราชาพระองค์นั้น จงทรงพระชนม์ยืนนาน ทรงบำรุงแคว้นกาสีให้เจริญรุ่งเรืองเถิด.
ครั้งนั้น พระราชาทรงเลื่อมใสในพระคุณของพระโพธิสัตว์ ทรงรับสั่งให้สร้างโรงช้างไม่ไกลแต่เมืองนิลีนิ จึงทรงเริ่มตั้งภัตตาหารไว้เนืองนิตย์เพื่อพระโพธิสัตว์ และมารดา.
ครั้นภายหลัง พระโพธิสัตว์ เมื่อมารดาทำกาละแล้ว ได้ทำการบริหารร่างกายของมารดาแล้ว ไปสู่อาศรมชื่อกรัณฑกะ ก็ในที่นั้น ฤาษีจำนวน ๕๐๐ ลงจากภูเขาหิมพานต์มาอยู่.
พระโพธิสัตว์ได้ถวายปวัตตทานนั้นแด่ฤาษีเหล่านั้น.
พระราชาทรงรับสั่งให้สร้างรูปปฏิมาอันสำเร็จด้วยศิลามีรูปเท่าพระโพธิสัตว์ แล้วได้ให้มหาสักการะเป็นไป ประชาชนชาวชมพูทวีปประชุมกันเป็นประจำปีได้ทำการฉลองช้าง.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงประกาศสัจจะทั้งหลาย
ประชุมชาดกว่า
พระราชาในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์
บุรุษชั่วได้เป็น พระเทวทัต
นายหัตถาจารย์ได้เป็น พระสารีบุตร
นางช้างนั้นได้เป็น พระนางมหามายาเทวี
ส่วนช้างเชือกประเสริฐซึ่งเลี้ยงดูมารดา คือ เรานั่นเอง ผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
จบอรรถกถามาตุโปสกชาดกที่ ๑
------------------------------------------------