ปัญจภีรุกชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. ปัญจภีรุกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๑๓๒)
ว่าด้วยความไม่หวาดสะดุ้งกลัว
(พระโพธิสัตว์คิดถึงเหตุการณ์ที่ตนรอดพ้นจากนางยักษิณี จึงเปล่งอุทานว่า)
[๑๓๒] เราไม่ตกอยู่ในอำนาจของพวกรากษส เพราะความเพียรอันมั่นคงในคำแนะนำของท่านผู้ฉลาด และเพราะความไม่หวาดหวั่นต่อภัยและความสะดุ้งกลัว ความสวัสดีจากภัยอันใหญ่หลวงนั้นจึงมีแก่เรา
ปัญจภีรุกชาดกที่ ๒ จบ
-----------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
ปัญจภีรุกชาดก
ว่าด้วย ความสวัสดี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระสูตร ว่าด้วยการประเล้าประโลมของมารธิดา ณ อชปาลนิโครธ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในกาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรนั้นตั้งแต่ต้นจนจบบริบูรณ์ อย่างนี้ว่า :-
นางตัณหา นางอรดีและนางราคา ล้วนเพริศพริ้งแพรวพราวพากันมา พระศาสดาทรงกำจัดนางเหล่านั้นไปเสีย เหมือนลมพัดปุยนุ่นให้หล่นกระจายไปฉะนั้น.
พวกภิกษุประชุมกันในโรงธรรม ตั้งเรื่องสนทนากันว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้ทรงลืมพระเนตรแลดูพวกมารธิดาอันจำแลงรูปทิพย์หลายร้อยอย่าง แล้วเข้าไปหา เพื่อจะเล้าโลม. โอ ขึ้นชื่อว่า กำลังของพระพุทธเจ้า น่าอัศจรรย์.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันการที่ไม่แลดูพวกมารธิดาของเรา ผู้ทำให้อาสวะหมดสิ้นไปแล้ว บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูแล้ว ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลย แท้จริงในกาลก่อน เรากำลังแสวงหาพระโพธิญาณ มิได้ทำลายอินทรีย์ทั้งหลายเสีย แลดูแม้ซึ่งรูปทิพย์ที่พวกนางยักษิณีพากันเนรมิตไว้ด้วยอำนาจกิเลส ทั้งที่เรายังมีกิเลส ดำเนินไปจนบรรลุถึงความเป็นมหาราชได้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นน้ององค์เล็กที่สุด ของพระพี่ยาเธอตั้ง ๑๐๐ องค์.
เรื่องราวทั้งหมด บัณฑิตพึงให้พิสดารโดยนัยดังกล่าวแล้วในตักกสิลาชาดก ในหนหลังนั้นแล
(แปลก) แต่ว่า ในครั้งนั้น เมื่อชาวเมืองตักกสิลาเข้าไปอัญเชิญพระโพธิสัตว์ ณ ศาลาภายนอกพระนคร มอบถวายราชสมบัติ กระทำการอภิเษกแล้ว ชาวตักกสิลานคร พากันตกแต่งพระนครเหมือนเมืองสวรรค์ ตกแต่งพระราชนิเวศน์เหมือนวิมานอินทร์. ปางเมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จเข้าพระนครแล้ว เสด็จขึ้นสู่บัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรในท้องพระโรงหลวงในปราสาทอันเป็นพระราชสถาน ประทับนั่งด้วยลีลาประหนึ่งท้าวเทวราช.
เหล่าอำมาตย์ พราหมณ์ คฤหบดีและขัตติยกุมาร ต่างแต่งองค์ทรงเครื่อง พร้อมแวดล้อมโดยขนัด นางบำเรอประมาณหมื่นหกพันนาง ล้วนแน่งน้อย เปรียบประดุจเทพอัปสร ทุกนางต่างฉลาดในการฟ้อนรำ ขับร้องและบรรเลง.
พระราชวังก็ครื้นเครงทั่วกัน ด้วยเสียงขับร้องและบรรเลงเพลงประสาน ปานประหนึ่งท้องมหาสมุทรที่กำลังคะนองคลื่นเบื้องหน้า แต่เมฆฝนตกกระหน่ำแล้ว.
พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรดูศิริเสาวภาคอันบรรลุแก่พระองค์นั้น ทรงดำริว่า ถ้าเราจักพะวงแลดูรูปทิพย์ที่นางยักษิณีเหล่านั้นจำแลงเสียแล้วละ ก็คงสิ้นชีวิตไปแล้ว คงไม่ได้ดูศิริเสาวภาคนี้ แต่เพราะเราตั้งอยู่ในโอวาทของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ศิริโสภาคนี้จึงบรรลุแก่เรา.
ครั้นทรงดำริฉะนี้แล้ว เมื่อจะทรงเปล่งพระอุทาน ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
"เราไม่ตกอยู่ในอำนาจของพวกรากษส เพราะความเพียรมั่นคง ดำรงอยู่ในคำแนะนำของผู้ฉลาด และความไม่หวาดหวั่นต่อภัย และความสยดสยอง สวัสดิภาพจากภัยอันใหญ่หลวง จึงมีแก่เรา" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุสลูปเทเส ความว่า ในคำชี้แจงของท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย. อธิบายว่า ในโอวาทของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย.
พระมหาสัตว์ทรงแสดงธรรมด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม บำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น เสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
เราตถาคต ได้เป็นราชกุมารผู้ไปปกครองราชสมบัติในพระนครตักกสิลา ในครั้งนั้นฉะนี้แล.
------------------------------------------------
ไม่มีความเห็น