การแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับกัลยาณมิตรท่านหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖ นำสู่บันทึกนี้
ท่านขอคำปรึกษาผมเรื่องการไปฝึกอาจารย์ของสถาบันผลิตครูกลุ่มหนึ่งให้มีทักษะในการ “พัฒนาครู” ให้มีทักษะที่ผมตีความว่า เป็นทักษะการออกแบบและจัดการเรียนรู้เชิงรุก (active learning)
ผมตอบไปว่า “...พัฒนาครู โดยไม่เข้าไปร่วมทำงานและเรียนรู้ที่โรงเรียน เป็นสิ่งที่ไม่มีวันสำเร็จครับ เพราะจะเป็นกระบวนทัศน์เดิม ที่เน้นพัฒนาครูโดยเอาความรู้ของตนไปถ่ายทอดให้ ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ ผมคิดว่า … ต้องเริ่มจากการวางฐานกลยุทธ หากไม่วางให้ถูกต้อง ก็จะเสียเวลาเปล่า
เขามาฟังและเรียนรู้ … แล้วเอาไปแนะนำครูที่ รร. โดยไปปีละสองสามครั้ง ไม่มีวันได้ผลครับ จะให้ได้ผลต้องใช้ท่าทีทำงานด้วยกัน เรียนรู้ด้วยกันจากประสบการณ์”
ผมตอบสั้นๆ แต่กัลยาณมิตรตอบมายาว ในลักษณะเล่าพฤติกรรมที่สะท้อนวัฒนธรรมของอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษากลุ่มนั้น และขอคำแนะนำเพิ่มขึ้นอีก ผมตอบกลับไปว่า “การทำงานแบบหลอกๆ โดยไม่ตระหนักว่าเป็นการหลอกตัวเอง ไม่มีวันเกิดความสำเร็จแท้จริงครับ” กัลยาณมิตรตอบมาว่าโดนใจ และขออนุญาตส่งความเห็นสั้นๆ ทั้งสองตอนไปให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งที่กำลังเข็นเรื่องที่กัลยาณมิตรปรึกษามา ซึ่งผมก็ยินดี เพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษาและบ้านเมือง
หัวใจอยู่ที่สัมมาทิฐิเรื่องการศึกษาหรือการเรียนรู้ เน้นที่การทำหน้าที่ครู ที่ต้องไม่ใช่แค่มีความรู้เชิงทฤษฎีเท่านั้น ต้องมีความรู้จากประสบการณ์ ซึ่งเป็นบูรณาการของความรู้เชิงปฏิบัติและทฤษฎี เกี่ยวกับการทำหน้าที่ครู อยู่ด้วยกันอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน การที่สถาบันผลิตครูไปทำหน้าที่พัฒนาครูจึงต้องไม่ไปนิเทศแบบไปให้คำแนะนำแบบถ่ายทอดความรู้ครั้งละสองสามชั่วโมง ปีละสองสามครั้ง เพราะการทำเช่นนั้น อาจารย์มหาวิทยาลัยจะไม่มีทางเข้าใจงานของครู ว่ามีความซับซ้อนเพียงใด
ผมเชื่อว่า “ครูของครู” ต้องมีประสบการณ์การทำหน้าที่ครูที่โรงเรียน จึงจะทำหน้าที่ “พัฒนาครู” (ซึ่งในที่นี้หมายถึงพัฒนาครูประจำการ) ได้อย่างแท้จริง หากไม่ไปฝังตัวร่วมทำงานและเรียนรู้ร่วมกับครูที่โรงเรียนตลอดภาคการศึกษา ไปได้แค่ ๑ - ๒ วัน ก็ต้องไป “ร่วมทำงานและเรียนรู้ร่วมกับครู” ในฐานะคนที่เสมอกัน คือ “ผู้มุ่งเรียนรู้จากประสบการณ์ในห้องเรียน” ไม่ใช่ท่าทีของ “ผู้รู้” ไปแนะนำ “ผู้ไม่รู้” ไม่ทราบว่าความคิดเห็นของผมเป็นความคิดของ “ผู้โง่เขลา” หรือเปล่า
ใน ๑ - ๒ วัน สั้นๆ นั้น “ครูของครู” ควรได้เข้าร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน และร่วมหมุน Kolb’s Experiential Learning Cycle ร่วมกับครู โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอน Reflective Observation สู่ Abstract Conceptualization เพื่อหนุนให้ครูได้ทบทวนหลักการหรือทฤษฎีจากการสะท้อนคิดจากประสบการณ์จากการปฏิบัติของตนและพฤติกรรมของนักเรียน
สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดที่ “ครูของครู” จะได้เรียนรู้หรือตระหนักคือ ความซับซ้อนและเป็นพลวัตในชีวิตจริงของครู ที่มีมากกว่าวิชาเอกที่ “ครูของครู” รับผิดชอบ อย่างมากมาย
“ครูของครู” ต้องทำหน้าที่สร้าง “วัฒนธรรมเรียนรู้” ให้แก่วงการศึกษา ทดแทนวัฒนธรรม “ผู้รู้” ที่ครอบครองพื้นที่อยาในปัจจุบัน วัฒนธรรมเรียนรู้ สร้างได้โดยหนุนให้เกิด “การเรียนรู้จากประสบการณ์” ขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาไทย
“การเรียนรู้จากประสบการณ์” เป็นรูปแบบสำคัญของการเรียนรู้เชิงรุก และการเรียนรู้บูรณาการครบด้าน (holistic learning) VASK ที่ครูต้องเน้นทำหน้าที่ตั้งคำถามให้ศิษย์สะท้อนคิด ไม่ใช่ครูเน้นเป็นแหล่งความรู้อย่างในปัจจุบัน
ผมมองว่า ท่าที หรือวัฒนธรรม เรียนรู้จากประสบการณ์ คือตัวช่วยให้คนในวงการศึกษาหลุดจากบ่วง “หลอกตัวเอง” หรือบ่วง “ไม่รู้ว่าไม่รู้”
วิจารณ์ พานิช
๒๐ ก.ค. ๖๖
ไม่มีความเห็น