Book Review-หนังสือ Revolt โลกาปฏิวัติ

ชื่อหนังสือ        Revolt โลกาปฏิวัติ

ผู้เขียน              นาดาฟ เอยัล (Nadav Eyal)

ผู้แปล               เขมลักขณ์ ดีประวัติ

สำนักพิมพ์       Sophia

ปีที่พิมพ์           กุมภาพันธ์  2565

ราคา               495 บาท

 

            สังคมไทยคุ้นเคยกับคำว่า “Globalization” มาตั้งแต่ประมาณหลังปี 2530 คำในภาษาไทยที่ใช้กันในช่วงแรก ๆ คือคำว่า “โลกานุวัตร” ผู้บัญญัติศัพท์คำนี้คือ ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช  ต่อมาราชบัณฑิตยสถานได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “โลภาภิวัตน์” แทน 

ตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นพลังของเทคโนโลยีการสื่อสารที่ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนทำให้การติดต่อกันของผู้คนทั่วโลกเกิดขึ้นอย่างไร้พรมแดน และส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก

            หนังสือ “โลกาปฏิวัติ” เป็นผลงานการแปลของ เขมลักขณ์ ดีประวัติ จากต้นฉบับหนังสือภาษาอังกฤษชื่อ Revolt ของ นาดาฟ เอยัล นักข่าวชาวอิสราเอล ที่สะท้อนมุมมองของนักเดินทางที่เห็นสังคมต่าง ๆ ผ่านสายตาของคนทำข่าวที่มีต่อกระแส “โลกาภิวัตน์” ได้อย่างแหลมคม

            เอยัลได้กล่าวถึงสภาพสังคม และสะท้อนความจริงของโลกในยุคปัจจุบันไว้อย่างน่ารับฟังว่า “พวกเราอยู่ในยุคที่เจริญที่สุดทางวัตถุ แต่ทำไมผู้คนถึงสิ้นหวังมากกว่ายุคใด พวกเราอยู่ในยุคที่ผู้คนตรวจสอบความจริงได้ด้วยตัวเองในเสี้ยววินาที แต่ทำไมโลกจึงเต็มไปด้วยความเท็จเทียม เป็นยุคที่พวกเราเชื่อมต่อเพียงปลายนิ้ว แต่ทำไมผู้คนกลับแปลกแยกและเหินห่างกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นยุคที่ประเทศส่วนมากเป็นประชาธิปไตย แต่ทำไมคนรุ่นใหม่จึงไม่ศรัทธาสถาบันทางสังคมทุกรูปแบบของตัวเองและมีแนวโน้มเข้าลัทธิสุดโต่งทางการเมือง” วรรคทองจากประโยคดังกล่าวเชื่อว่าทำให้หลายคนต้องพยักหน้าเห็นด้วยกับความจริงที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีข้อสงสัย

            สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้อีกประการหนึ่งก็คือ การมองว่าโลกาภิวัตน์สมัยใหม่ไม่ยั่งยืน และยังเชื่อว่าการล่มสลายของระเบียบโลกในปัจจุบันไม่ได้เกี่ยวกับความไม่สมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับความก้าวหน้าทางสังคม หรือการล่มสลายของระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เนื้อหามีความลุ่มลึกเกิดมาจากการที่เอยัลศึกษาบทเรียนตั้งแต่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น สงครามฝิ่นในจีน เฮติ นักล่าอาณานิยม รวมถึงแผนงานฟื้นฟูยุโรปในช่วง ค.ศ. 1947 ของนายพลมาร์แชลล์ที่มีผลต่อโลกาภิวัตน์ในยุคต่อมา การนำเสนอสไตล์การเล่าเรื่องเชิงสารคดีที่ผ่านการสำรวจวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก และไม่ใช่แค่การวิเคราะห์วิจารณ์ผ่านปรากฏการณ์ที่ผู้นำประเทศ หรือเหตุการณ์ทางการเมืองเพียงอย่างเดียว  จึงทำให้เนื้อหามีความเป็นสหวิทยาการ และสะท้อนโลกทัศน์ได้อย่างหลากหลายแง่มุม

            เอยัลยังมองระบบเศรษฐกิจใหม่ว่าเอื้อให้เจ้าของทุนสามารถกอบโกยผลประโยชน์ข้ามแดนได้อย่างเสรี จนนำมาซึ่ง “ความไม่เสมอภาค” “ความเท็จเทียมและคอร์รัปชัน” นอกจากนี้ยังทำให้มีการนำ “ทฤษฎีสมคบคิด” มาใช้ พร้อม ๆ กับการเกิด “ลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่ง” และ “สงครามกลางเมือง” อีกทั้งยังทำให้เกิดปัญหา “ผู้อพยพ” และปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นตามมา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมองบทบาทของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่ได้แพร่กระจายความเป็นโลกาภิวัตน์ผ่านวัฒนธรรมอเมริกัน และเข้ามามีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจ ความบันเทิง จนทำให้อเมริกันไม่ต่างอะไรจากนายหน้าค้าโลกาภิวัตน์ที่ทำให้โลกทั้งใบเชื่อมโยงถึงกัน

             เอยัลได้วิเคราะห์ว่าการถั่งโถมของโลกาภิวัตน์ในทุกมิติ ทำให้เกิด “เจเนอเรชันแห่งการลุกฮือ” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่คนรุ่นใหม่ทั่วโลกต่างพยายามหยัดยืนและส่งเสียงกับระเบียบโลกเก่าที่กำลังล่มสลาย พร้อมกับเสนอให้ลูกหลานเจเนอเรชันนี้กระโดดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการก่อร่างสร้างระเบียบโลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น

             เนื้อหาภายในเล่มมีทั้งหมด 21 บท เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักธุรกิจที่ต้องการทำความเข้าใจกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ในด้านต่าง ๆ และผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจโลกในทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือ (Ambiguity) หรือที่รู้จักกันภายใต้ชื่อ VUCA World......

 

 

                                                       ----------------------------------------------