ถ้าคุณเคยเป็นวิทยากร หรือเป็นครู คุณจะพบว่าเวลาให้ผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนา หรือให้ผู้เรียนถามคำถาม หรือร่วมแสดงความคิดเห็น ทุกอย่าง ‘เงียบ’
ผมก็เคยเป็นแบบนั้นเช่นกัน เพราะวัฒนธรรมการเรียนการสอนและสังคมไทยเป็นสังคมปิด (shut-up society) และอาวุโสนิยม ( ageism society) เราถูกสอนให้เชื่อผู้ใหญ่ เพราะเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนเด็ก หรือเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัดเป็นต้น
และบรรยากาศในห้องเรียนก็คือ ให้ฟังครูเป็นหลัก ใครถามจะถูกมองว่าเป็นคนโง่ หรือไม่ก็ตัวแสบ ชอบกวนความสงบสุขของห้อง การจัดการศึกษาในบ้านเมืองเราจึงเป็นการจัดการศึกษาแบบครูรู้ดี และเป็นสังคมแบบผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจรู้ดี ทั้งๆ ที่จริงแล้วอาจจะไม่รู้อะไร หรือรู้แบบผิดๆ ถูกๆ ก็ได้ แต่เราก็อยู่กันได้ในระบบการศึกษา และสังคมแบบนี้ครับ
บางครั้งที่ผมเป็นวิทยากร และผมไม่รู้ว่าจะเปิดไมค์โครโฟนอย่างไร และขอให้ใครสักคนมาช่วยเปิดหน่อย ก็จะถูกสงสัยว่า ‘นี่เหรอวิทยากรที่จะอบรมพวกเขาวันนี้’
ผมเชื่อว่าคุณก็เคยเจอแบบนี้ หรือเคยตัดสินใจคนอื่นแบบนี้
แต่จริงๆ แล้ว ‘ไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าโง่ เพราะไม่รู้ก็คือไม่รู้เท่านั้น’ ถ้าจำเป็นต้องรู้เรื่องนั้น ก็หาความรู้เรื่องนั้นเสีย การเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้น
ส่วนคำว่า ‘โง่ หมายถึง รู้แล้วแต่ไม่นำใช้สิ่งที่รู้ให้เกิดประโยชน์’ เช่น ถ้าคุณรู้แล้วว่าการกินปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดที่ไม่ปรุงให้สุกจะเป็นใบไม้ตับ (เดิมเรียกว่าใบไม้ในตับ) แล้วยังไม่เลิกกิน แล้วก็ป่วยเป็นใบไม้ตับตาย เป็นต้น นั่นคือ ‘โง่'
อีกอย่าง ‘การที่เคยรู้แล้ว แต่จำไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าโง่เช่นกันครับ’ เช่น คุณเคยจำชื่อนักเรียนได้ แต่หลายปีต่อมาคุณได้พบนักเรียนคนนั้นอีก แต่จำชื่อเขาไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณโง่นะ เพียงแต่จำไม่ได้ครับ
ผมพูดเรื่องนี้เพราะถ้าเราเชื่อว่า ‘ความไม่รู้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้’ เราต้องแยกความแตกต่างระหว่างความไม่รู้กับความโง่ออกจากกันให้ได้ก่อน เพราะถ้าเรานิยามว่า ‘ไม่รู้ แปลว่าโง่แล้ว ทุกคนก็เป็นคนโง่ ต่างกันที่ใครโง่มาก หรือโง่น้อย ตามปริมาณความรู้และไม่รู้’ และคำว่าโงถูกนำใช้เป็นตัวบ่งชี้ในเชิงลบ ซึ่งไม่เป็นสิ่งที่พึงปราถนาของใคร
แต่ถ้าเข้าใจตรงกันว่า ‘ไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าโง่’ แล้วคนเราก็น่าจะสะดวกใจและพร้อมที่จะยอมเราว่าตนเองไม่รู้ ในสิ่งที่ตนไม่รู้ และความไม่รู้ก็จะปกติวิสัยของสังคม ซึ่งก็จะทำให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
ถ้าเข้าใจตรงกันแบบนี้ ประเด็นที่ต้องคิดกันต่อไปก็คือ ‘แล้วคนเราต้องรู้อะไรจึงจะเป็นประโยชน์ และสิ่งนั้นเรารู้หรือยัง ถ้ายังไม่รู้สิ่งนั้น แล้วเราจะเรียนรู้ได้อย่างไร จะเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือด้วยกระบวนการจัดการศึกษา ซึ่งถ้าจะเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางการศึกษาแล้ว การจัดการศึกษาจะอำนวยความสะดวกการเรียนรู้ของบุคคลในเรื่องนั้นได้อย่างไร’ นั่นเองครับ
สมาน อัศวภูมิ
30 เมษายน 2566
ปล. ขออภัยครับ จริงๆ แล้วผมไม่ประสงค์จะ upload ซ้ำ แต่ปกติเขียนเสร็จ จะ upload ก่อนค่อยแก้ไขแก้ไขอีกที จึงจะพบว่าผมมีการแก้ไขงานทุกคร้้ง แต่งวดนี้ทดลองอ่านและแก้ไขก่อนค่อย upload ทีเดียว แต่พบว่าเป็นการ upload 2 ครั้ง ทั้งไฟล์เดิม และไฟล์แก้ไข ครับ
กำลังเรียนรู้ครับ ขออภัย และขอบคุณค่าติดตามอ่านครับ
May I comment on the use of ‘ageism’? As defined in Wikipedia, to convey the sense of discrimination against old people, thus ageism is not really อาวุโสนิยม. Perhaps, ‘hierarchism’ or seniority-based culture would be clearer (but tongue twisting ;-)
ขอบคุณมากครับที่แชร์ประสบการณ์ แต่ผมเคยเจอกับเหตุการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีเพื่อนร่วมงานถาม แล้วผมบอกว่าไม่ทราบ เพราะไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไรก็ด้วย จึงตอบอีกครั้งว่า…ไม่ทราบจริงๆ แต่ผู้ถามไม่เชื่อเช่นนั้น เชื่อว่าผมรู้แต่ไม่ตอบ ไม่ทราบว่าจะเข้าประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ หรือมีวิธีอื่นอย่างไร ช่วยแนะนำด้วย…วิโรจน์ ครับ