๔๖.ฝันเอาไว้..ว่าจะไปให้ถึง...


๑๘.๓๐ น. เสียงประชาสัมพันธ์ประกาศให้ขึ้นรถ ผู้โดยสารซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติพากันมายืนเข้าแถวแล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อน ตอนนั้นคิดว่า..ตัวผมเองฝันไป จิตใจกำลังล่องลอยเหมือนกับว่ากำลังเดินไปขึ้นเครื่องบิน

          ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องฝันเหมือนกันก็ได้ ความฝันจึงต่างกันไปตามบริบทของชีวิต นั่นก็หมายถึงฝันแต่พอดีพองาม เป็นไปได้และไม่เลื่อนลอย

          ผมเคยฝันว่าจะเป็น “ครู”ที่ดี จนถึงวาระสุดท้ายของการรับราชการ วันนี้ก็เกือบจะทำได้แล้ว เหลือเวลาให้พิสูจน์ตัวเองอีกไม่กี่เดือนเท่านั้น

          ในระหว่างที่ทำงานอย่างที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก็ฝันไว้ว่า..ต้องเดินทางไปเยี่ยมชมและศึกษาโครงการพระราชดำริห้วยฮ่องไคร้ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ให้ได้สักครั้งหนึ่งของชีวิต

          คือความฝันอันสูงสุดและคิดว่า..อันนี้แหละที่ไกลแล้ว เพราะไม่เคยคิดที่จะไปเมืองนอกเมืองนา หรือเสาะหาที่ท่องเที่ยวอื่นใด ขอไปตรงนี้ให้ได้ก่อน ที่อื่นค่อยว่ากัน

          เหตุผลสำคัญที่เลือกโครงการพระราชดำริฯแห่งนี้ เพราะโครงการใหญ่ในหลายๆภูมิภาคนั้น ผมไปมาบ้างแล้ว แม้ว่าจะเหลืออีกมากมายหลายโครงการก็ตาม

          แต่โครงการ ณ ห้วยฮ่องไคร้.จ.เชียงใหม่.ผมคิดว่าเป็น “หัวใจ” และเป็นต้นแบบของโครงการอื่นๆ การเยี่ยมชมครั้งนี้ จึงน่าจะครบวงจรและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

          อีกอย่างหนึ่ง การเลือกโครงการพระราชดำริ..ให้อยู่ในแผนผังแห่งความฝันของผม ก็ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวง รัชกาลที่ ๙ ตลอดระยะเวลาที่ผมบริหาร โรงเรียนขนาดเล็ก

          ผมมีโอกาสได้ใช้การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมจากวังไกลกังวล และน้อมนำ”ศาสตร์พระราชา”ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้โรงเรียนมีความเจริญก้าวหน้า มั่นคงและยั่งยืน

          ส่วนตัวผม..ได้พบเจอแต่สิ่งที่ดีงาม ทำให้ประสบความสำเร็จด้านการเรียนการสอนและการบริหารจัดการ ตลอดจนมีความสุขและราบรื่นในการใช้ชีวิต..ที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

          ผมจึงไม่อยากรอให้ถึงเวลา..”หลังเกษียณ” เพราะชีวิตของคนเราไม่แน่นอน ทำอะไรได้ในช่วงเวลาที่ยังแข็งแรง เมื่อมีโอกาสก็ควรจะรีบทำทันที..

          เตรียมการล่วงหน้าเป็นเดือน ทุกคนในครอบครัวไม่มีใครขัดข้องเลย แต่ไม่มีใครอยากไปด้วย ต่างคนก็จะอ้างภารกิจของตน แต่ก็นับว่าโชคดีที่ลูกชายคนเล็กเป็นธุระในการจองตั๋วรถไฟให้

          ด้วยความที่สุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยของความเจ็บป่วย จึงไม่มีใครในครอบครัวที่เป็นกังวลในการเดินทางไกลเพียงลำพังของผม..ซึ่งมีกำหนดการที่แน่นอนในการเดินทาง คือ ๔ - ๖ มีค. ๖๖

          ผมขับรถออกจากบ้านตั้งแต่เที่ยงวันเสาร์ เพื่อจะนำรถไปฝากไว้ที่ “บ้านกาแฟ” ของเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา สมัยมัธยม ซึ่งร้านกาแฟของเพื่อนผมอยู่ในซอยวัดบางจาก อ.ปากเกร็ด

          ๓ ปีกว่า ที่ผมไม่ได้ขับรถเข้าไปในย่านปากเกร็ด ผมรู้สึกเหนื่อยใจมาก เพราะหลงทางอย่างไม่น่าเชื่อ พอจอดรถได้ก็ต้องรีบขึ้นแท็กซี่ทันที ไม่มีเวลาได้คุยกับเพื่อนเลยแม้แต่น้อย

          ถึงสถานีกลางบางซื่อหรือกรุงเทพอภิวัฒน์ด้วยความโล่งใจ มีเวลาได้นั่งรอรถไฟแบบสบายๆ ผ่อนคลายแข้งขาไปได้บ้าง และด้วยแอร์ที่เย็นฉ่ำ การนั่งรอจึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลย บรรยากาศภายในสถานีก็คุ้นๆ เพราะเคยมาฉีดวัคซีนถึง ๒ ครั้ง

          ก่อนรถไฟจะเข้าสู่ชานชลา..ขอไปหาอาหารรองท้องสักหน่อย ภายในร้านอาหารของสถานีที่ดูกว้างใหญ่ มีอาหารให้เลือกหลากหลาย แต่ผมเลือกข้าวไข่เจียว เพราะระวังป้องกันเรื่องปวดท้องในระหว่างการเดินทาง

          ๑๘.๓๐ น. เสียงประชาสัมพันธ์ประกาศให้ขึ้นรถ ผู้โดยสารซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติพากันมายืนเข้าแถวแล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อน ตอนนั้นคิดว่า..ตัวผมเองฝันไป จิตใจกำลังล่องลอยเหมือนกับว่ากำลังเดินไปขึ้นเครื่องบิน

          ครั้งแรกในชีวิต ณ นาทีนั้น ที่ผมได้เห็นและสัมผัสขบวนรถไฟปรับอากาศที่มีที่นั่งภายในโอ่อ่า และหรูหรา สะอาดและสวยงามเหลือเกิน

          จึงย้อนความคิดคำนึงถึงอดีตอันยาวนานที่ผ่านมา น้ำตาจะไหล ช่างอ่อนไหวในความรู้สึกเสียนี่กระไร คิดถึงสมัยที่เป็นครูครั้งแรก พ.ศ.๒๕๒๙ ที่มีเงินเดือน ๒,๗๖๕ บาท

          นั่งรถไฟไปศรีสะเกษ ขึ้นต้นทางที่สถานีดอนเมือง ตีตั๋วชั้น ๓ แล้วยืนไปเกือบตลอดทาง ยืนหลับบ้างและนั่งหลับกับพื้นบริเวณทางเดิน ที่มีผู้โดยสารแออัดยัดเยียด ภาพจำฝังใจยังติดตาเพราะต้องเดินทางซ้ำๆแบบนั้นหลายครั้ง แต่วันนี้..ชีวิตเปลี่ยนไป..ต้องใช้ให้คุ้มเสียแล้ว

          ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี ในเวลา ๑๘.๔๐ น. มีชาวต่างชาติมาพูดคุยเพื่อขอแลกที่นั่งกับผม เพื่อให้ครอบครัวของเขาจำนวน ๔ คนได้นั่งด้วยกัน 

          ผมฟังรู้เรื่องและเข้าใจแต่ไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มให้พวกเขา แล้วลุกขึ้นด้วยความยินดี ผู้เป็นลูกสาวส่งสบู่ให้ผมก้อนหนึ่งและพูดว่าแท๊งกิ้ว...คืนนี้..ในขบวนรถด่วนพิเศษ ผมจึงนอนหลับสบายและได้กลิ่นสบู่หอมขจรขจายไปตลอดทั้งคืน

ชยันต์  เพชรศรีจันทร์

๔  มีนาคม  ๒๕๖๖

    

 

 

หมายเลขบันทึก: 711873เขียนเมื่อ 6 มีนาคม 2023 21:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มีนาคม 2023 08:04 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ผมไม่ได้ขึ้นรถไฟมาเป็น ๒๐ ปีแล้ว ;)…

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท