ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องฝันเหมือนกันก็ได้ ความฝันจึงต่างกันไปตามบริบทของชีวิต นั่นก็หมายถึงฝันแต่พอดีพองาม เป็นไปได้และไม่เลื่อนลอย
ผมเคยฝันว่าจะเป็น “ครู”ที่ดี จนถึงวาระสุดท้ายของการรับราชการ วันนี้ก็เกือบจะทำได้แล้ว เหลือเวลาให้พิสูจน์ตัวเองอีกไม่กี่เดือนเท่านั้น
ในระหว่างที่ทำงานอย่างที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก็ฝันไว้ว่า..ต้องเดินทางไปเยี่ยมชมและศึกษาโครงการพระราชดำริห้วยฮ่องไคร้ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ให้ได้สักครั้งหนึ่งของชีวิต
คือความฝันอันสูงสุดและคิดว่า..อันนี้แหละที่ไกลแล้ว เพราะไม่เคยคิดที่จะไปเมืองนอกเมืองนา หรือเสาะหาที่ท่องเที่ยวอื่นใด ขอไปตรงนี้ให้ได้ก่อน ที่อื่นค่อยว่ากัน
เหตุผลสำคัญที่เลือกโครงการพระราชดำริฯแห่งนี้ เพราะโครงการใหญ่ในหลายๆภูมิภาคนั้น ผมไปมาบ้างแล้ว แม้ว่าจะเหลืออีกมากมายหลายโครงการก็ตาม
แต่โครงการ ณ ห้วยฮ่องไคร้.จ.เชียงใหม่.ผมคิดว่าเป็น “หัวใจ” และเป็นต้นแบบของโครงการอื่นๆ การเยี่ยมชมครั้งนี้ จึงน่าจะครบวงจรและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
อีกอย่างหนึ่ง การเลือกโครงการพระราชดำริ..ให้อยู่ในแผนผังแห่งความฝันของผม ก็ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวง รัชกาลที่ ๙ ตลอดระยะเวลาที่ผมบริหาร โรงเรียนขนาดเล็ก
ผมมีโอกาสได้ใช้การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมจากวังไกลกังวล และน้อมนำ”ศาสตร์พระราชา”ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้โรงเรียนมีความเจริญก้าวหน้า มั่นคงและยั่งยืน
ส่วนตัวผม..ได้พบเจอแต่สิ่งที่ดีงาม ทำให้ประสบความสำเร็จด้านการเรียนการสอนและการบริหารจัดการ ตลอดจนมีความสุขและราบรื่นในการใช้ชีวิต..ที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ผมจึงไม่อยากรอให้ถึงเวลา..”หลังเกษียณ” เพราะชีวิตของคนเราไม่แน่นอน ทำอะไรได้ในช่วงเวลาที่ยังแข็งแรง เมื่อมีโอกาสก็ควรจะรีบทำทันที..
เตรียมการล่วงหน้าเป็นเดือน ทุกคนในครอบครัวไม่มีใครขัดข้องเลย แต่ไม่มีใครอยากไปด้วย ต่างคนก็จะอ้างภารกิจของตน แต่ก็นับว่าโชคดีที่ลูกชายคนเล็กเป็นธุระในการจองตั๋วรถไฟให้
ด้วยความที่สุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยของความเจ็บป่วย จึงไม่มีใครในครอบครัวที่เป็นกังวลในการเดินทางไกลเพียงลำพังของผม..ซึ่งมีกำหนดการที่แน่นอนในการเดินทาง คือ ๔ - ๖ มีค. ๖๖
ผมขับรถออกจากบ้านตั้งแต่เที่ยงวันเสาร์ เพื่อจะนำรถไปฝากไว้ที่ “บ้านกาแฟ” ของเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา สมัยมัธยม ซึ่งร้านกาแฟของเพื่อนผมอยู่ในซอยวัดบางจาก อ.ปากเกร็ด
๓ ปีกว่า ที่ผมไม่ได้ขับรถเข้าไปในย่านปากเกร็ด ผมรู้สึกเหนื่อยใจมาก เพราะหลงทางอย่างไม่น่าเชื่อ พอจอดรถได้ก็ต้องรีบขึ้นแท็กซี่ทันที ไม่มีเวลาได้คุยกับเพื่อนเลยแม้แต่น้อย
ถึงสถานีกลางบางซื่อหรือกรุงเทพอภิวัฒน์ด้วยความโล่งใจ มีเวลาได้นั่งรอรถไฟแบบสบายๆ ผ่อนคลายแข้งขาไปได้บ้าง และด้วยแอร์ที่เย็นฉ่ำ การนั่งรอจึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลย บรรยากาศภายในสถานีก็คุ้นๆ เพราะเคยมาฉีดวัคซีนถึง ๒ ครั้ง
ก่อนรถไฟจะเข้าสู่ชานชลา..ขอไปหาอาหารรองท้องสักหน่อย ภายในร้านอาหารของสถานีที่ดูกว้างใหญ่ มีอาหารให้เลือกหลากหลาย แต่ผมเลือกข้าวไข่เจียว เพราะระวังป้องกันเรื่องปวดท้องในระหว่างการเดินทาง
๑๘.๓๐ น. เสียงประชาสัมพันธ์ประกาศให้ขึ้นรถ ผู้โดยสารซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติพากันมายืนเข้าแถวแล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อน ตอนนั้นคิดว่า..ตัวผมเองฝันไป จิตใจกำลังล่องลอยเหมือนกับว่ากำลังเดินไปขึ้นเครื่องบิน
ครั้งแรกในชีวิต ณ นาทีนั้น ที่ผมได้เห็นและสัมผัสขบวนรถไฟปรับอากาศที่มีที่นั่งภายในโอ่อ่า และหรูหรา สะอาดและสวยงามเหลือเกิน
จึงย้อนความคิดคำนึงถึงอดีตอันยาวนานที่ผ่านมา น้ำตาจะไหล ช่างอ่อนไหวในความรู้สึกเสียนี่กระไร คิดถึงสมัยที่เป็นครูครั้งแรก พ.ศ.๒๕๒๙ ที่มีเงินเดือน ๒,๗๖๕ บาท
นั่งรถไฟไปศรีสะเกษ ขึ้นต้นทางที่สถานีดอนเมือง ตีตั๋วชั้น ๓ แล้วยืนไปเกือบตลอดทาง ยืนหลับบ้างและนั่งหลับกับพื้นบริเวณทางเดิน ที่มีผู้โดยสารแออัดยัดเยียด ภาพจำฝังใจยังติดตาเพราะต้องเดินทางซ้ำๆแบบนั้นหลายครั้ง แต่วันนี้..ชีวิตเปลี่ยนไป..ต้องใช้ให้คุ้มเสียแล้ว
ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี ในเวลา ๑๘.๔๐ น. มีชาวต่างชาติมาพูดคุยเพื่อขอแลกที่นั่งกับผม เพื่อให้ครอบครัวของเขาจำนวน ๔ คนได้นั่งด้วยกัน
ผมฟังรู้เรื่องและเข้าใจแต่ไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มให้พวกเขา แล้วลุกขึ้นด้วยความยินดี ผู้เป็นลูกสาวส่งสบู่ให้ผมก้อนหนึ่งและพูดว่าแท๊งกิ้ว...คืนนี้..ในขบวนรถด่วนพิเศษ ผมจึงนอนหลับสบายและได้กลิ่นสบู่หอมขจรขจายไปตลอดทั้งคืน
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๔ มีนาคม ๒๕๖๖
ผมไม่ได้ขึ้นรถไฟมาเป็น ๒๐ ปีแล้ว ;)…