โลกนิยมไทย จุดเปลี่ยนไทยจุดเปลี่ยนโลก โดย ศ. นพ. ประเวศ วะสี
โลกนิยมไทย
จุดเปลี่ยนไทยจุดเปลี่ยนโลก
ประเวศ วะสี
(๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕)
๑.
จากทีมวอลเลย์บอลไทยถึงการประชุม APEC
ทีมวอลเลย์บอลสาวไทยชนะใจคนทั่วโลก แม้เกมที่แข่งแพ้ก็ยังเชียร์ไทย เสน่ห์ไทยอยู่ที่ไหนทำไมนานาชาติจึงนิยมมาเที่ยวประเทศไทย นอกจากอัธยาศัยไมตรีและอาหารไทยที่เป็น ๑ ใน ๕ อาหารโลกแล้ว ยังมีอะไรอีก การประชุม APEC เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ผู้นำจากเขตเศรษฐกิจเอเซียแปซิฟิก ๒๑ ประเทศ ครอบคลุมประชากร ๑ ใน ๓ ของโลก พร้อมทั้งแขกรับเชิญที่สำคัญ ๆ รวมทั้งสื่อมวลชนจากทั่วโลกประมาณ ๕,๐๐๐ คน สำเร็จอย่างงดงาม ทุกคนดูจะพออกพอใจในการต้อนรับขับสู้ด้วยอัธยาศัยอันดีงามและมีน้ำใจจากประเทศเจ้าภาพ ตลอดจนการเป็นการประชุมที่มีสาระที่สำคัญด้วยมโนทัศน์ที่สำคัญยิ่ง คือ Open - Connect - Balance เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์เชื่อมโยงกันสู่สมดุล คนคิดช่างเข้าใจปัญหาวิกฤตโลกและเสนอวิถีคิดใหม่ได้อย่างกระชับ
Einstein เคยพูดว่า “We shall need a radically new manner of thinking, if mankind is to survive” “เราต้องการวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้”
วิถีคิดเก่าได้นำมนุษยชาติมาสู่สภาวะวิกฤตสุด ๆ จนคุกคามการอยู่รอด
การประชุมเอเปค 2022 ในประเทศไทย ได้เสนอวิถีคิดใหม่เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ นี้คือสารหรือสาระใหญ่ที่สำคัญยิ่ง ที่ควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้
สรุปการจัดประชุมเอเปค 2022 แสดงว่า ประเทศไทยสามารถทำเรื่องใหญ่ได้ เราทะเลาะกันมากเสียจนจิตเล็ก มองไม่เห็นพลังบวกบนแผ่นดินไทยที่มีเต็มไปหมดและเป็นจุดแข็งของไทย การพัฒนาประเทศต้องพัฒนาบนจุดแข็งของไทย แล้วจะภูมิใจและแข็งแรง ถ้าพัฒนาจากจุดอ่อนจิตก็จะฝ่อ ทะเลาะกันสูง แตกแยกและอ่อนแอ
๒.
จุดแข็งของวัฒนธรรมคนเป็นชาติไท
คนชาติไทเป็นกลุ่มเผ่าพันธุ์ใหญ่กลุ่มหนึ่ง กระจัดกระจายอยู่ในประเทศต่าง ๆ ๘ ประเทศ คือ ไทย ลาว พม่า เขมร เวียดนาม มาเลเซีย จีน และอินเดีย (มณฑลอัสสัม) ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภาและคณะ เคยไปวิจัยว่าอะไรเป็นวัฒนธรรมร่วมที่พบในคนไท ที่กระจายกันอยู่ในประเทศต่าง ๆ พบว่า มีอย่างน้อย ๒ ประการ คือ
ความมีน้ำใจทำให้เกิดความมีอัธยาศัยไมตรี ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม ไม่แข็งกระด้างแบบหัวชนฝา ทำให้มีสมรรถนะในการทูตสูง ดังที่เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่เอาตัวรอดจากกระแสจักรวรรดินิยมของตะวันตกที่พัดมาอย่างรุนแรง อย่างไม่มีอารยธรรมใดเอาตัวรอดได้นอกจากไทย
เพราะความยืดหยุ่น ประนีประนอม และอัธยาศัยไมตรีอันมาจากวัฒนธรรมไทย เรายุติสงครามการสู้รบระหว่างคนไทยด้วยกันในประเด็นคอมมิวนิสต์ได้อย่างสวยงามที่สุด ด้วยคำสั่ง ๖๖/๒๕๒๓ ซึ่งยุติการสู้รบทันที นักศึกษาปัญญาชนคืนจากป่าสู่เมือง และสมานกันในสังคมอย่างไร้รอยต่อ ลีกวนยู กล่าวว่า มีแต่คนไทยเท่านั้นที่ทำได้อย่างนี้
วัฒนธรรมไทยคือจุดแข็งของเรา ที่ถ้าใช้ จะเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทย และจุดเปลี่ยนโลก
๓.
การพัฒนาต้องเอาวัฒนธรรมเป็นตัวตั้ง
หลายทศวรรษที่ผ่านมา องค์การยูเนสโกได้ประกาศ “ทศวรรษแห่งวัฒนธรรมและการพัฒนา” ซึ่งประเทศไทยก็ร่วมด้วยแต่ไม่มีผลกระทบใหญ่ เมื่อคุณสมชาย เสียงหลาย ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผมได้เขียนหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่ง ชื่อ “การพัฒนาต้องเอาวัฒนธรรมเป็นตัวตั้ง” จัดพิมพ์โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับประเทศของ UNESCO เพราะสังคมปัจจุบันสูญเสียความเข้าใจเรื่องวัฒนธรรมไปแล้วเพราะการพัฒนาเชิงอำนาจ อำนาจจะตัดขาด ควบคุม ปิดกั้น ตรงข้ามกับวัฒนธรรมซึ่งเชื่อมโยงเป็นบูรณาการ มหาวิทยาลัยก็เข้าใจวัฒนธรรมแบบแยกย่อย เพียงแค่เรื่องเรือนไทย ดนตรีไทย จึงควรทบทวนทำความเข้าใจว่าวัฒนธรรมคืออะไร
วัฒนธรรม คือ วิถีชีวิตร่วมกันของกลุ่มชนที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมหนึ่ง ๆ ซึ่งกินความครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นวิถีชีวิตร่วมกัน เช่น ความเชื่อร่วมกัน คุณค่าร่วมกัน การทำมาหากิน ที่อยู่อาศัย อาหาร การแต่งกาย ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี การจัดการสิ่งแวดล้อม การดูแลรักษาสุขภาพ สุนทรียธรรม การไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง การศึกษา หรือการเรียนรู้ ศาสนาใดที่เป็นความเชื่อและคุณค่าร่วมกัน ก็มีฐานเป็นวัฒนธรรมด้วย เช่น วัฒนธรรมอิสลาม วัฒนธรรมพุทธ
เนื่องจากสิ่งแวดล้อมแต่ละแห่งแตกต่างกัน ตั้งแต่ขั้วโลกจนถึงทะเลทราย ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร ๆ กลุ่มชนที่อยู่ที่นั้น ๆ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะมีวิถีชีวิตที่ทำให้อยู่รอดชีวิตและอยู่ได้ดี วัฒนธรรมจึงมีความหลากหลายไปตามชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ไม่ถือว่าของใครดีกว่าของใคร ต่างก็มีความเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมของตนของตนซึ่งมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว วัฒนธรรมจึงเป็นภูมิปัญญาที่เจ้าของมีความภูมิใจและรู้สึกมีศักดิ์ศรี
ถ้าพัฒนาโดยเอาวัฒนธรรมเป็นตัวตั้ง ทุกชุมชนท้องถิ่นจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีเป็นการกระจายอำนาจ แต่ถ้าเอาอำนาจและเงินเป็นตัวตั้งจะรวมศูนย์ ชุมชนท้องถิ่นหมดศักดิ์ศรีลง ประเทศอ่อนแอ เครียด ไม่เป็นประชาธิปไตย
ในขณะที่อำนาจและเงินจะแยกส่วนเพื่อควบคุม
วัฒนธรรมบูรณาการทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การศึกษา ประชาธิปไตย
การแยกส่วนนำไปสู่การเสียสมดุล บูรณาการนำไปสู่ความสมดุล
ขณะนี้โลกเสียสมดุลอย่างรุนแรง
๔.
โลกนิยมไทย
จุดเปลี่ยนไทย จุดเปลี่ยนโลก
ความเคยชิน ความชาชิน ทำให้เราไม่สำนึกว่าเรามีอะไรดี แต่การที่ชาวโลกเขามาชื่นชมนิยมไทย จะกระตุ้นให้เราคิดว่าเรามีดีอะไร ความจริงคือมีสิ่งดี ๆ หรือพลังบวกบนแผ่นดินไทยมากมาย หลายปีมาแล้วผมแนะนำชาวสถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ ลงไปดูเรื่องของคนข้างล่าง คนที่ติดแผ่นดิน ไม่นึกว่าเขาจะไปแต่เขาก็ไป คุณสำราญ ฉัตรโท หัวหน้ากองบรรณาธิการ คุณกรุณา บัวคำศรี และคณะ กลับมาเล่าให้ฟังว่า “เห็นชาวบ้านเขาทำเรื่องดี ๆ แล้วเกิดปิติจนขนลุก” แถมพูดว่า “ประเทศไทยเปลี่ยนแน่” เพราะมีคนทำเรื่องดี ๆ กันขนาดนี้
“การถักทอพลังบวกบนแผ่นดินไทย” ควรจะเป็นระเบียบวาระแห่งชาติของคนชาติไทย สื่อมวลชนทุกแขนงควรไปวิจัยสืบเสาะทั่วแผ่นดิน ว่าใครทำเรื่องอะไรดี ๆ บ้าง แล้วเอามาสื่อสารถักทอพลังบวกบนแผ่นดินไทยก็จะเกิดพลังแผ่นดิน (ภูมิพละ) ทั้งพลังความภูมิใจในความเป็นไทย ทั้งพลังทางปัญญา และพลังทางสังคม ทำให้คนไทย “เกิดความมุ่งมั่นร่วมกัน”
คนไทยไม่เคยมีความมุ่งมั่นร่วมกัน มีแต่แตกแยกและทะเลาะกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เมื่อใดมีความมุ่งมั่นร่วมกัน จะเกิดการรวมพลังประดุจแสงเลเซอร์ ที่เคลื่อนสู่อนาคตของเราร่วมกัน ด้วยพลังความดีของคนไทย ประเทศไทยทรัพยากรเพื่อการพัฒนามากมายเพียงพอที่จะสร้างประเทศไทยที่ทุกคนอยู่ดีมีสุข มีภูมิคุ้มกัน ปลอดภัย มีความดีงาม นี้คือจุดเปลี่ยนประเทศไทย จากการที่โลกนิยมไทย และไทยนิยมไทย
๕.
“ประเทศไทยนี้เหมาะแก่การที่นานาประเทศจะมาคุยกันเรื่องสันติภาพ”
พระเจ้าอยู่หัว ร.๙
ความชื่นชมจากผู้นำนานาชาติในการจัดประชุม APEC 2022 แสดงว่าประเทศไทยทำการใหญ่ได้ และประเทศไทยมีเสน่ห์ให้โลกชื่นชม
จึงควรใช้การที่โลกนิยมไทยให้เป็นประโยชน์ใหญ่แก่โลก
ประโยชน์ใหญ่ที่สุดของโลก คือ สันติภาพ
โลกขณะนี้เต็มไปด้วยความปั่นป่วน วุ่นวาย รุนแรง สงคราม จนเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก
ถ้าโลกมีสันติภาพ โลกมีทรัพยากรและความรู้พอที่จะทำให้ทุกคนบนโลกใบนี้อยู่ดี มีสุข และปลอดภัย
สันติภาพโลกจึงสำคัญที่สุด
ประเทศไทยควรใช้เสน่ห์ไทย จัดให้นานาประเทศมาคุยกันเรื่องสันติภาพ ตามพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ ให้
Thailand International Peace Conference เป็นสิ่งทรงคุณค่าที่ใคร ๆ ก็อยากมา
มีตัวอย่างของความสำเร็จคือ PMAC (Prince Mahidol Award Conference) ซึ่งเป็นเวทีที่ผู้นำนโยบายสุขภาพจากทั่วโลกนิยมมาร่วม ผู้จัดคือมูลนิธิรางวัลเจ้าฟ้ามหิดล ซึ่งมีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชทรงเป็นประธาน จัดร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก มูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ มูลนิธิบิลเกตส์ และอื่น ๆ ทีมไทยที่ทำหน้าที่จัดการมีฝีมือสูงมาก สามารถประสานงานองค์กรและผู้นำต่าง ๆ ได้ทั่วโลก
คนไทยทำงานใหญ่ได้
ใช้จุดแข็งไทย เสน่ห์ไทย และที่ตั้งของประเทศไทย จัดการประชุม TIPCใช้ (Thailand International Peace Conference) ไข้ขึ้นชื่อลือชาประดุจ PMAC หรือยิ่งกว่า อาจเรียกว่า
King Bhumibol International Peace Conference ก็ได้ เพราะสนองพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน
การจัดประชุมสันติภาพนานาชาติในประเทศไทย เป็นประจำสม่ำเสมอ จะเป็นจุดเปลี่ยนไทยและจุดเปลี่ยนโลก
---------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความเห็น