The Road to Red Restaurant Lists หรือมนุษย์เงินเดือนตะเวนชิม เป็นรายการทีวีญี่ปุ่นที่ผมดูมาจาก Netflix เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของมนุษย์เงินเดือนที่ทำงาน แล้วถูกเอาเปรียบบ้างจนกลับบ้านดึกมาก ลูกเมียทิ้งไปเที่ยว เมื่อไม่มีอะไรทำเลยขับรถตระเวณชิมอาหารอร่อย แถมบ้านบางทีก็ไปไกลบ้าง ชายหนุ่มไปเจอร้านอาหารดีๆ จำนวนมาก ดีแบบแทบน้ำตาไหล เพราะอร่อย แต่ทุกร้านที่ไปเสี่ยงต่อการหายไปจากโลกนี้ในอีกไม่นาน ด้วยสาเหตุต่างๆกันเช่นร้านแรก ลูกรับกิจการร้านอุด้งมาจากแม่ที่ป่วย ถึงแม่จะมีฝีมือดีเท่ารุ่นแม่ แต่ความที่ร้านอุด้งเยอะขึ้น ก็เริ่มไม่มีลูกค้า ก่อนจากเธอก็บอกว่าจะเลิกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไปอีกร้านก็เป็นคุณปู่ที่ทำอุด้งอร่อยบ้าคลั่งอีก แต่ก็เหมือนอยู่ไปงั๊นแกบอกไม่มีฝันอะไรแล้ว ตั้งแต่ภรรยาตายไป ทุกวันนี้อยู่เพื่อทำอุด้งดีๆ ให้ลูกค้าทานเท่านั้น อีกร้านก็เป็นคุณป้า ที่ทำอะไรก็อร่อยไปหมด แต่ร้านบอกว่าขายทันตั้มเมน ก็คือราเมนประเภทหนึ่ง ปรากฏว่าลองไปหาดูก็ไม่เห็นจะมีเมนูนี้ สั่งไม่ได้ ป้าเลยบอกว่าไม่มี ที่ทำโฆษณาแบบนี้คือเลียนแบบตลกคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ประมาณอยากสร้างจุดขายว่าบอกว่าขายตัวนี้แต่จริงๆ ไม่มีให้ลูกค้างงเล่น ร้านนี้มีฝันนิดคือกำลังช่วยลูกชายทำร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ดูลูกชายก็ไม่ค่อยมีใจเท่าไหร่ นี่ก็เสียงสูญพันธ์ุอีก แนะนำดูครับแต่ละตอนสั้นๆ เปิดโลกดี
สำหรับผมเปิดโลกอะไร เปิดโลกผมเรื่องอิคิไกครับ ดูแต่ละร้านนี่ทุกคนเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น เหตุผลการตื่นขึ้นมาแต่ละวันชัดมาก บางคนบอกเลยมีชีวิตอยู่เพื่อนทำราเมน แต่ด้วยเมื่อโลกเปลี่ยนไปร้านที่เคยรุ่งกลายเป็นร้างรา ถึงแม้จะมีบางคนยังขายได้ แต่ก็เริ่มไปไม่ไหว ลูกหลานก็ไม่เอา เรียกว่าสักพักสิ่งที่เป็นประหนึ่งมรดกของชาติจะหายไป
ถ้าเอานิยามหนึ่งของอิคิไก ที่ประกอบด้วยการที่ทำอะไรด้วยความรัก เก่ง โลกต้องการ และได้เงินแล้ว
จะเห็นชัดว่าคนทำรายการก็ทำในสิ่งที่ รัก เก่ง โลกต้องการ และได้เงินด้วย เขาเป็นคนที่รักการทานอาหารดีๆ เก่งเรื่องทำรายการทีวี แล้วบังเอิญไปเห็นร้านดีๆ เสี่ยงสูญพันธุ์ เลยเกิดมีไอเดียไปทำรายการ เมื่อไปคุยกับ Netflix เลยได้ฉายทาง Netflix นี่คือแสดงว่าเขาทำเงินได้ ครบวงจรเป๊ะ ผมบอกเลยว่าน่าดูเป็นตัวอย่าง และเขายังเห็นอีกว่ามีคนจำนวนมาก ก็ยังรักร้านประเภทนี้ นั่นคือในชีวิตจริงถ้าเขาไป Review อาจทำให้เกิดความต้องการขึ้นมาเพราะคนอาจรู้จักร้านแบบนี้มากขึ้น อิคิไกของท่านนี้ให้ประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม ผมว่าดีมากๆ
มาเรื่องอิคิไก ผมสอนมาตั้งยังไม่มีใครพูดถึง ผมทำมาหลายปีไม่ว่าจะแนวไหน ไม่ว่าญี่ปุ่นแท้ๆ ที่มักไม่ค่อยพูดถึงอาชีพ หรือแบบที่ฝรั่งเข้าใจก็คือสี่วง รัก เก่ง เป็นอาชีพ โลกต้องการ
ถ้าเป็นญี่ปุ่นจะไม่ค่อยพูดถึงอาชีพ แต่พอจะทำเป็นอาชีพ เมื่อไหร่ มันจะมีโจทย์ที่ท้าทายคุณขึ้นมาคือใครต้องการคุณ คุณรู้สิ่งที่คุณรักและเก่ง แต่ทำอย่างไรคุณจะรู้ว่าโลกต้องการคุณหรือไม่ จะตอบคำถามนี้ได้ ต้องตีความก่อนคำว่าโลกคืออะไร โลกก็คือคนจำนวนมากพอที่จะซื้อหาผลิตภัณฑ์ หรือบริการของคุณ ที่ทำให้คุณอยู่ได้ การที่คุณจะได้เขามาเป็นลูกค้าให้เงินคุณ คุณก็ต้องหาความต้องการของลูกค้าให้เจอ แล้วความต้องการของลูกค้าคืออะไร ถ้ามันเป็นของจำเป็นแล้วไม่มีใครทำ หรือทำได้ไม่ดีโอกาสจะเป็นของคุณ อย่างกรณีนี้ดูเหมือนตั้งแต่ดูมา รายการรีวิวร้านอาหารส่วนใหญ่จะเจาะร้านที่ดังอยู่แล้ว หรืออาจ Unseen แต่ก็พอมีคนซื้อ นี่เขาไปเจอช่องว่างร้านอาหารที่จะสูญพันธ์ุ คือเทพมากแต่ไม่นานอาจหายไปจากโลก และถ้าถามผมว่าผมต้องการดูไหม ผมซื้อไอเดียตั้งแต่แรก และ Netflix ซื้อไหม ซื้อทันที กรณีรายการนี้ตอบโจทย์ชัดมากๆ
มาเรื่องอาชีพ อาชีพแปลว่าอะไร คนส่วนใหญ่จะบอกว่าคือทำอะไรแล้วได้เงิน แถมมั่นคง อันนี้เป็นความจริงเพียงส่วนเดียว จริงๆ อาชีพแปลว่าการแก้ปัญหาคน ถ้าคุณแก้ปัญหาในจุดที่ยังไม่มีใครแก้ได้มาก่อน หรือไม่มีใครทำ หรือทำแล้วคุณอาจทำต่างออกไป คนจะหันมาใช้สินค้า หรือบริการของคุณ มองจากปัญหาอาชีพมีอยู่แล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่บางอาชีพไม่มีอยู่อาจต้องสร้างขึ้นใหม่ เช่นคนรักและเก่งการซ่อมแอร์ ใครๆ ก็ซ่อมแอร์ มีอาขีพซ่อมแอร์อยู่ แต่มีสุภาพสตรีกลุ่มหนึ่งเป็นช่างผู้หญิงมารวมตัวกันเปิดกิจการซ่อมแอณ์ เน้นบริการบ้ารที่มีแต่ผู้หญิง เธอไปเจอว่ามีคนจำนวนมากที่บ้านมีแต่ผู้หญิง ที่รู้สึกไม่สบายใจเวลาช่างผู้ชายมาทำอะไรในบ้าน นี่ไงอิคิไกชัดมากๆ
ส่วนความมั่นคงอาจไม่ใช่อย่างที่คุณเห็น ในกรณีร้านอาหารถ้าดูคุณจะเห็นว่าทุกร้าน คนทำล้วนแล้วแต่มีอิคิไก ไม่ว่าจะด้วยนิยามของใครก็ตาม ทุกคนเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น เขารัก เก่ง ทำอาชีพนั้น เช่นรักราเมน เก่งทำราเมน อาชีพก็เปิดร้านขายราเมน อร่อย ลึกล้ำด้วย แต่มาถึงตัวสุดท้าย ปรากฏว่าโลกเริ่มไม่ต้องการ บางร้านมีลูกค้าเหลือนิดเดียว เคยมีลูกจ้างนับสิบ ตอนนี้เหลือคนเดียว เมื่อผมค้นคว้าเพิ่มเติม ก็มาจากการที่ประชากรญี่ปุ่นมีคนเกิดใหม่น้อยผู้สูงอายุมากขึ้น จำนวนร้านอาหารก็มากขึ้น เลยเห็นร้านดีๆ มีสิทธิสูญพันธุ์ไปในอีกไม่นาน บางร้านลูกหลานไม่อยากทำต่อก็มี บางทีโลกเปลี่ยนสังคมเปลี่ยนความมั่นคงที่อยู่ตรงหน้าอาจไม่มีอยู่อีกต่อไป
แต่ถึงแม้จะมีปัจจัยภายนอกเช่นนั้นแต่จากที่ผมมองผมเห็นอะไรบางเรื่อง ผมเห็นว่าคนมีอิคิไกที่ไปไม่ได้ ล้วนแล้วติสต์แตก เป็นส่วนใหญ่ คือหมกมุ่นสนใจแต่การทำอาหาร แต่ดูไม่ค่อยรับรู้อะไรนอกจากการทำอาหาร อาจไม่สนใจลูกค้าบางกลุ่ม อาหารส่วนใหญ่อร่อย ใช้วัตถุดิบดี ให้จำนวนมาก แต่ราคาถูกอย่างน่าใจหาย จนไม่เห็นทางเลยว่าจะไปรอดได้อย่างไร ต่อให้ลูกค้ามากกว่านี้ก็ไม่น่าไปได้ บางคนร้องให้ให้ลูกค้าเห็น ทุกครั้งคนทำรายการจะถามเหมือนกันคือจากการกินอาหารที่อร่อยสุด จะทำต่อไหม ทุกคนบอกไม่ทำต่อด้วยเหตุผลเช่นอายุมาก แต่บางคนก็มีเช่นต้องทำต่อเพราะติดหนี้ เคยให้เงินกู้ลูกน้องแล้วเจอเบี้ยว ตอนนี้แก่แล้วเลยยังต้องทำงานใช้หนี้
ถ้าจจะประเมินคร่าวๆ จากการดูทุกร้านแล้วคุณอาจบอกว่าเออ นี่ไม่มีหัวทางธุรกิจเลย ใช่ครับ ดูมีปัญหาทุกคน เอาเป็นว่าเหมือนมีบุคลิกภาพที่มีปัญหาบางอย่าง ผมรู้สึกเลยว่าหลายคนเกิดมาเพื่อมีปัญหาทางการเงินโดยธรรมชาติ ผมเคยศึกษาเรื่องบุคลิกภาพทางการเงินไว้มีแปดรูปแบบ 6 รูปแบบแรก เป็นประเภทมีปัญหา 2 รูปแบบหลังถือว่าดี มาดูกันครับ
1.พวกไร้เดียงสา (The Innocent)
ใช้ชีวิตแบบปฏิเสธความจริง ไม่รู้ความ เชื่อคนง่าย มีรายหนึ่งถูกเพื่อนชวนไปลงทุนขายตรงหลังเกษียณ โดยต้องซื้อของมาสต๊อกไว้ก่อน แล้วก็ขายใครไม่ได้ เดือดร้อนไป หรือที่เคยเจอมีอยู่รายหนึ่ง มีรายได้ 20,000 ต่อเดือน แต่ต้องรักษามาตรฐานชีวิตด้วยการใช้ 50,000 ต่อเดือน เพราะเชื่อว่าเดี๋ยวก็ได้เงินเข้ามา เชื่ออย่างนี้จนกระทั่งหมดตัว
2.เหยื่อ (The Victim)
มีชีวิตอยู่กับความผิดพลาดในอดีต และมักโทษปัจจัยภายนอก มักหาเหตุ ข้ออ้างในการแก้ปัญหา หรือไม่ประสบความสำเร็จ โดยอ้างสาเหตุบางอย่าง เช่นมีปัญหาเคยถูกทำให้เสียโอกาสในที่ทำงานเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้เลยไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะโอกาสนั้นมันผ่านไปแล้ว แก่ไปแล้ว เลยมีปัญหาเหมือนทุกวันนี้ ลามไปถึงการเงินด้วย บางคนก็บอกว่าที่ไม่มีอาชีพ ไม่ก้าวหน้าเหมือนใครเพราะมัวแต่ต้องคอยดูแลคนอื่นในครอบครัว ไปถึงญาติด้วยเลยไม่มีโอกาสทำมาหากินอะไร
3.นักบุญ (The Martyr)
ยุ่งกับการดูแลคนอื่น โดยมองข้ามความต้องการจริงๆ ของตัวเอง ชอบช่วยเหลือคนอื่น (เด็ก คู่สมรส เพื่อน หุ้นส่วน) พวกนี้เป็นคนสมบูรณ์แบบ แต่ในใจกลับมาความคาดหวังลลึกๆ เช่นถ้าคนอื่นไม่ทำตามความคาดหวังก็ขัดใจ เช่น มีรายหนึ่งไปค่ำประกันเงินกู้ให้เพื่อน โดยบอกว่า “ไม่ค้ำได้ไง อาจารย์ ก็เพื่อหนูถูกตัดเงินเดือนจนไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว” อีกรายก็ช่วยเหลือพี่น้องจนต้องขอยืมเงินคนอื่นไม่หยุด หรือไปเอาเงินจากธุรกิจ แทนที่จะเอาไปจ่าย Supplier ก็เอาไปช่วยพี่น้อง นี่ก็พังกันหมด ญาตพี่น้องเตือนก็ไม่ฟัง
4.คนเขลา (The Fool)
เป็นนักพนัน ชอบใช้ทางลัด มีระบบการตัดสินใจที่มีปัญหา เห็นแก่ผลประโยชน์จนลืมมองดูในรายละเอียด ผมรู้จักอยู่คนหนึ่งสมัยเด็ก เป็นคนเก่งมาก เลยมีคนช่วยเข้าแก๊งค์รับจ้างสอบ ปรากฏว่าได้เงินมาก แต่ที่สุดกลายเป็นโรคหวาดระแวงมีปัญหาทางจิตไปเลย พี่น้องเพื่อนผม พยายามแก้ปัญหาธุรกิจที่ล้มเหลวด้วยการไปลงทุนในพวกค้าเงิน แถมมาชวนคนครอบครัวลงด้วย บอกว่ารวยเร็ว ที่สุดก็ถูกโกงพากันตายหมด มีญาติของลูกศิษย์มีเมียเป็นผีพนันใช้เงินมาก จนต้องขายบ้าน หมดตัวจะมาขอพึ่งพี่น้องแต่ถูกไล่ออกจากข้าน เพราะสมัยมีเงินเมียไปพูดจาด่าคุณแม่ว่าเป็นภาระ เลยตอนนี้ต้องอยู่อย่างอนาถา
5.ศิลปิน (Creator/Artist)
ศิลปินนักสร้างสรรค์ เป็นคนไม่วัตถุนิยม ต้องการเงินเพื่ออิสรภาพ แต่ก็มีทัศนคติเรื่องลบเกี่ยวกับเงิน ทำให้ต้องดิ้นรนเรื่องการเงิน เคยเจออยู่รายหนึ่งเก่งเรื่องสร้างสรรค์งานมาก แต่พอทำงานก็เกิดอารมณ์ศิลปิน ก็ทิ้งงานไปดื้อๆ แล้วบอกว่าตัวเอง ถนัดอยู่เบื้องหลังมากกว่า ที่สุดประสบปัญหาทางการเงินจนไปไม่รอด อีกรายไม่ค่อยเผยแพร่โฆษณา เลยไม่มีใครรู้จัก เพราะรักความสงบ ก็ไม่มีใครจ้าง คือเก่งแต่ไม่มีใครรู้จัก เพราะไม่ชอบ Social Media แต่ก็ต้องการเงิน นี่ก็ขัดแย้งไปหมด
6.จอมบงการ (The Tyrant)
จอมบงการ มักใช้เงินควบคุมคน เหตุการณ์ และสถานการณ์ หลายคนเป็นคนไม่รู้จักพอ มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง หรือสมาชิกในครอบครัว เคยเจอรายหนึาง ลูกศิษย์เล่าให้ฟังเป็นประมาณ พยายามช่วยญาติมิตร แต่สักพักจะบอกว่าที่ช่วยเรื่องบ้านนี่ (ญาติที่ช่วยเป็นคนโสด) ยังไงก็ช่วยทำมรดกยกบ้านที่ซ่อมให้ลูกของตัวเองด้วย อีกตัวอย่างในองค์กรของรัฐเช่นมหาวิทยาลัยบางแห่ง เพื่อนผมเล่าว่ามีเศรษฐีบริจาคเงิน (เอาไปหักภาษีต่อ) ต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งมามีอำนาจเป็นบอร์ดมหาวิทยาลัย กลายมาสร้างความเสียหายให้มหาลัย เช่นตอนประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเงิน ก็เอาเงินมหาวิทยาลัยไปลงทุนในบริษัทการเงิน แล้วบริษัทนั้นก็ถูกปิด เงินมหาลัยหายไปหลายร้อยล้าน
7.นักรบ (The Warrior)
เกิดขึ้นมาเพื่อพิชิตโลกธุรกิจ และการเงิน เป็นนักลงทุน มีโฟกัส ฉลาด และควบคุมตัวเองได้ ฟังที่ปรึกษาแต่ก็ใช้สัญชาตญาณตัวเอง รู้ว่าอะไรจะส่งเสริม อะไรจะเป็นอุปสรรค สนุกกับการทำธุรกิจ และมีศิลปะในการเจรจาต่อรอง อยากเอาชนะ นี่เจอมากโดยเฉพาะในสาย MBA เก่งจริงๆ เป็นนักรบ ถือว่าสุดๆ ผมมีลูกศิษย์หลายรายเป็นแบบนี้ใช้เงินต่อเงิน สร้างตัวเองไปไกลเลย
8. นักมายากล (The Magician)
นักมายากลเป็นคนที่เข้าใจตัวเอง และโลกภายนอกอย่างลึกซึ้ง มีชีวิตทางการเงินที่สมดุลสุด มีรายหนึ่งเล่าเรื่องแม่เขา เป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อย แต่ฝันอยากส่งลูกไปเมืองนอก เลยเวลาแต่งตัวก็จะไปทางหน้าที่ที่ทำงาน มีวันหนึ่งเขาสังเกตเห็นแม่เป็นฝ้า เลยเอาครีมทางฝ้าไปใช้ เลขาข้างๆ เห็นยี่ห้ออะไรน่ะ ดีไหม แม่เขาบอกว่าดี แล้วซื้อที่ไหน ก็บอกว่าซื้อที่แม่เขาก็ได้ ปรากฏว่าคุณแม่ซื้อครีมนั่นมา 50 ขายต่อ 300 ส่วนพ่อของเพื่อนผมเองก็ค่อยๆลงทุนซื้อที่ถูกๆ เก็บไว้ โตมาด้วยการเป็นนักมายากลทางการเงินของพ่อแม่ ก็ทำให้เพื่อนผมมีเงินไปเรียนต่อเมืองนอกถึงปริญญาเอก ส่วนพ่อแม่ก็เกษียณไปอยู่สวนตัวเองอย่างสบายใจ คณบดีเก่าผมก็เป็นพ่อมดทางการเงิน ท่านบอกผมสมัยหนุ่มๆ ให้ซื้อที่ดินไว้สองไร่ พอใกล้เกษียณราคาขึ้นขายไป 1 ไร่ เอาเงินที่ได้มาสร้างบ้าน 1 ไร่ที่เหลือ
ผมมองว่าส่วนใหญ่เจ้าของเหล่านี้มักเป็นพวกกลุ่มศิลปิน คือหมกมุ่นกับอาหาร ทำจนยอดเยี่ยม แต่ลืมมองความเป็นไปได้ทางธุรกิจ บางคนเป็นนักบุญยังต้องทำงานในวัยเกษียณ เพราะไปปล่อยกู้ให้ลูกน้องเจอเบี้ยว บางคนก็โหยหาอดีต คิดถึงภรรยาที่ตายไป มีเมนูเป็นร้อยแต่ติสต์แตกขายแค่เมนูเดียว ลูกค้าใหม่ๆไม่เข้าใจก็เลยหนีไป มีบางรายที่เป็นนักรบ แต่บังเอิญอายุมาก ลดการขายลงเพราะอายุมาก ก็มีอยู่หนึ่งคน อันนี้ OK ครับ วางแผนขีวิตดี
เท่าที่ผมเจอมานะครับ ในชีวิตการสอนอิคิไก หรือการมองคนคนที่เปลี่ยนอิคิไกเป็นอาชีพ แล้วขยายตัวต่อไปได่ มักเป็นสายนักรบหรือนักมายากล อย่างคนที่ทำรายการนี้น่าจะเป็นสองประเภทนี้ เพราะฉะนั้นลองมองตัวเองครับ ถ้าเป็นหกประเภทแรก ไม่ดีนัก คุณต้องคบหาคนที่เป็นนักรบ นักมายากล ไปขอความรู้ขอความช่วยเหลือ ผมสอน MBA นี่ผมเห็นเยอะมาก เขาไม่หมกมุ่นอยู่ในร้าน เขาออกมารู้จักผู้คน ไปเรียนรู้เพิ่มเติม หาคน ความรู้เพิ่มเติม มีรายหนึ่งผมเคยสอนเรื่องอิคิไกไป พี่เขาสามารถไปตั้งโรงงานผลิตกล้วยทอดไร้มันได้ เห็นชัดครับเขาร่วมมือกับคนเก่งๆ หลายคน ไม่ทำคนเดียว พี่คนนี้เป็นนักรบครับ คนรอบตัวเป็นนักรบ นักมายากล ศิลปิน แต่ก็อยู่ภายใต้การนำของพี่เขา คนเป็นศิลปินนี่คบได้ครับ เพราะเป็นแนวสร้างสรรค์ แต่ประเภทอื่นๆ นี่คบไม่ได้ครับ ที่ต้องห้ามสุดคือพวกผีพนันหรือคนเขลา ส่วนคุณถ้าเป็นศิลปินมองหาเลยครับ นักมายากล หรือนักรบ ชีวิตคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การคบหาผู้คนที่ใช่จะทำให้คุณมีรายได้จากงานที่คุณรัก และทำอาชีพได้มั่นคงมากกว่าเดิม
สุดท้ายขอบคุณรายการเรื่อง The Road to Red Restaurant Lists ที่เปิดมุมมองทางปัญญาให้ผมและคนที่สนใจอิคิไกนะครับ
Ref: