LGBTQIA+ (โดยย่อ)


ก่อนอื่น ผมต้องบอกก่อนว่า ผมเป็น M = Man นะครับ แต่ผมคิดว่า ความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องปกติในโลกสมัยใหม่ครับ ทุกคนมีอิสระภาพที่จะเป็นเพศอะไรก็ได้ครับ สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องเรียนรู้ เข้าใจ และปรับตัวอยู่กับความหลากหลายเหล่านี้ให้ได้ เนื่องจากเราทุกคนเป็นพลเมืองโลก (Global Citizen) กันทั้งนั้น มีความเป็นมนุษย์เหมือนกันทุกคน

เดือนมิถุนายนถือว่าเป็นเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาวชุมชน LGBTQIA+ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Pride Month = June is Pride Month ที่แสดงผ่านสัญลักษณ์ "ธงรุ้ง" หลังจากเหตุการณ์ที่ตำรวจบุกจับกุมชาย 5 คน ที่บาร์เกย์ย่านกรีนวิชวิลเลจ นิวยอร์ก (Greenwich Village) ในวันที่ 28 มิถุนายน 1969 จนปีต่อมาเกิดเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ของกลุ่มผู้ที่มีความหลายหลากทางเพศที่มหานครนิวยอร์ก และลามไปในเมืองใหญ่ ๆ โดยใช้ชื่อการประท้วงว่า "Pride"

จนท้ายที่สุด กลุ่มผู้ที่มีความหลายหลากทางเพศก็ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสมัยประธานาธิบดี บิล คลินตัน ประกาศให้เดือนมิถุนายนเป็น Gay and Lesbian Pride Month ในปี 1999-2000 ต่อมาสมัยประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก็ได้ประกาศยอมรับเดือนมิถุนายนให้เป็น LGBT Pride Month และล่าสุด ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ประกาศให้เดือนมิถุนายนเป็น LGBTQ+ Pride Month ในปี 2021

สังเกตว่า คำที่ใช้นั้นสื่อถึงความหลากหลายทางเพศที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จาก Gay and Lesbian Pride Month ไปสู่ LGBT Pride Month และในที่สุดก็ LGBTQ+ Pride Month

ปัจจุบันเพิ่ม I และ A แถมมีเครื่องหมาย + เข้ามาต่อท้าย สื่อถือการรวมความหลากหลายทางเพศทุกเพศไว้ด้วยกัน จนกลายเป็น LGBTQIA+

จริง ๆ วัตถุประสงค์ที่เขียนโพสต์นี้เพื่อนำเสนอคำศัพท์ LGBTQIA+ เท่านั้น แต่เพื่อความเข้าใจภาพกว้าง ๆ เลยต้องเกริ่นที่มานิดหน่อยครับ

LGBTQIA+ มาจากตัวย่อ ดังนี้

L = Lesbian หญิงรักหญิง คำนี้น่าจะมาจากนักกวีนิพนธ์หญิงในยุคกรีกโบราณ ชื่อว่า Sappho โดยเธออยู่อาศัยอยู่ใน Mytilene บนเกาะ Lesbos ซึ่งงานกวีนิพนธ์ของเธอส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับความรักระหว่างหญิงกับหญิง จนทำให้เธอถูกวิจารณ์และถูกขนามนามเธอว่าเป็น "masculine woman" คือ ผู้หญิงที่มีลักษณะนิสัย/จิตใจเหมือนชาย (เรียกง่าย ๆ คือ เลสเบี้ยน นั่นแหละ) ดังนั้น คำว่า lesbian (อาจจะมาจากคำว่า lesbos ที่เป็นชื่อเกาะที่ Sappho อยู่อาศัย) ที่ใช้ในปัจจุบันมีความเป็นได้สูงที่จะใช้เพื่อสื่อถึงความรู้สึกของ Sappho กับผู้หญิงในเรื่องความรักที่ปรากฎในงานกวีนิพนธ์ต่าง ๆ ของเธอ

แบ่งตามพฤติกรรม 2 แบบ

1. Tomboy = ผู้หญิงทำตัวเหมือนผู้ชายและชอบผู้หญิง
2. Lady = ดี้ หมายถึงผู้หญิงใสน่ารักทำตัวเป็นผู้หญิง และชอบผู้หญิงด้วยกันที่ดูเข้มแข็ง และเป็นผู้นำได้

ประเภท lesbian เอาที่หลัก ๆ นะครับ

1. Lipstick - มีความเป็นผู้หญิงในตัวสูง ใส่ชุดหวาน ๆ หรือเปรี้ยวก็ได้ รักสวยรักงามตามแฟชั่น ดูแลตัวเองดี เป็นผู้หญิงจ๋า จนผู้ชายอย่างผมมักเข้าใจผิดอยู่บ่อย ๆ

2. Femme - มีความเป็นผู้หญิงในตัว แต่ก็ผสมความห้าวเข้าไปด้วย ไม่ใช่ผู้หญิงหวานมาก แต่ก็อยู่ในกรอบของความเป็นผู้หญิง

3. Chapstick - กลุ่มนี้อยู่ตรงกลาง ใส่กางเกง ตัดสั้น หรือไว้ผมยาวที่ดูแนว ๆ หน่อยก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ดูพยายามที่จะเป็นชายมากนัก ยังใส่เสื้อเสื้อผ้าที่มีดีเทลอยู่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดจะไปใส่กระโปรง ไม่โชว์เนื้อโชว์ตัวมาก

4. Soft Butch - ไม่ต่างจาก “ทอม” มากนัก แต่เป็นทอมยังไม่ฮาร์ดคอร์มาก ยังดูน่ารักอยู่ การแต่งตัวก็มีความเป็นชายระดับหนึ่ง มีการรัดหน้าอกร่วมด้วย อาจมีการเจาะ สัก ตามรสนิยม

5. Hard Butch - เป็นทอมที่ใกล้เคียงกับผู้ชายมากที่สุด กลุ่มนี้จะเหมือนผู้ชายมาก ไม่รักสวยรักงามทั้งนั้น มีการเล่นกล้าม สัก เจาะ ไปในแนวทางแบบผู้ชาย พูดง่าย ๆ คือ ผู้ชายในร่างหญิง


**********************

G = Gay คน/กลุ่มชายรักชาย ซึ่งมีประเภทต่าง ๆ เช่น เกย์คิง (เกย์แมน) เกย์ควีน (เกย์แต่งสาว) เกย์โบ๊ท (ได้ทั้งสองแบบ) ทั้ง 3 แบบนี้ยังแบ่งย่อยลงไปอีก แต่ผมไม่เจาะรายละเอียดแล้วกันครับ (https://today.line.me/th/v2/article/YQmEMN)

คำว่า gay เป็นคำที่ใช้มานานแล้วในความหมายว่า ร่าเริง เบิกบานใจ สนุกสนาน หรูหรา อิสระ เป็นต้น ต่อมาจึงมาใช้ในเชิง slang เป็นได้ทั้งนามและคุณศัพท์ หมายถึง คนรักร่วมเพศ ในความหมายจริง ๆ แล้วคำว่า gay ไม่ได้หมายถึง ชายกับชาย อย่างเดียว แต่รวมถึงทุกคนที่รักเพศเดียวกัน  มากไปกว่านั้น เรายังมี ทอมเกย์คิง ทอมเกย์ อดัม (ผู้ชายที่ชอบทอม) ladyboy (ชายที่ต้องการเป็นผู้หญิง) เป็นต้น


**********************


B = Bisexual หมายถึง คน/กลุ่มคนที่รักร่วมสองเพศ คือชอบทั้งสองเพศ ไม่ว่าชายหรือหญิง เนื่องจากคำว่า bi- เป็นตัวเพิ่มหน้าคำหลัก (prefix) มีรากศัพท์มาจากลาติน หมายถึง "สอง"  ดังนั้น biosexual (bio-sex-ual) จึงหมายถึง  คน/บุคคลที่รักร่วมสองเพศ


**********************

T = Transgender คน/บุคคลที่แปลงเพศสภาพกำเนิดเรียบร้อยแล้ว โดยอาศัยความก้าวหน้าทางการแพทย์เข้ามาช่วยสนับสนุน คำว่า trans- คำนี้เป็นตัวเพิ่มหน้าคำหลัก (prefix) ที่รากศัพท์มาจากลาติน แปลว่า แปลง/เปลี่ยน ส่วน gender มีรากศัพท์เดิมมาจากคำว่า Gene หรือ ยีน (เซลล์สืบพันธุ์ที่ถ่ายทอดพันธุกรรม) แล้วเติมเพิ่มท้ายคำ -er (suffix) เข้าไป
-er สื่อถึง บุคคล/คนที่อาศัยการสืบพันธ์ โดยปกติก็คือเพศชาย/หญิง  แต่สังเกตว่าเขาจะไม่รวมคำเป็น gener แบบนี้ เขาสร้างคำโดยตัด -e ในคำว่า gen (e) ออกก่อน แล้วเพิ่ม -d เข้ามาช่วยแทน ก่อนที่จะเพิ่ม -er ต่อท้ายอีกที เนื่องจาก -e ไม่ใช่พยัญชนะ จึงไม่สามารถสะกดเป็นคำอีกคำหนึ่งได้ ต้องอาศัยการเพิ่ม -d เข้ามาช่วยแทน จึงกลายเป็น gender (gen-d-er) แปลว่า เพศ *สังเกตว่าเวลาเราตอบแบบสอบถาม เขาจะให้เราเลือกว่า ชาย/หญิง หรือเพศอื่น ๆ  คำว่า gender จึงมีค่าเท่ากับคำว่า sex แปลว่า เพศ ... ดังนั้น คำว่า Transgender จึงหมายถึง คน/บุคคลที่แปลงเพศสภาพกำเนิดแล้ว


**********************

Q = Queer คน/บุคคลที่ไม่จำกัดเพศตัวเอง จะรักใครชอบใครก็ได้ คำว่า Queer คำนี้เดิมเป็นคำที่มีรากศัพท์มาจาก Scottish English ที่มีความหมายว่า แปลก/พิศดาร/ผิดปกติ (ใช้เป็นนาม queer/คุณศัพท์ queer/กริยาวิเศษณ์ก็ได้ queerly) และคำนี้ก็ปรากฎในภาษาถิ่นชาวเยอรมันในชนบท (Low German/Low Saxon Dialect) (*ซึ่งคำว่า low ในที่นี้ เกี่ยวกับชนชั้นต่ำ ไร้การศึกษา / เกี่ยวกับคนในชนบท ตรงกันข้ามกับคำว่า high ที่เกี่ยวกับชนชั้นสูง มีการศึกษา / เกี่ยวกับคนในเมือง... ซึ่ง low และ high สื่อถึงระดับชนชั้นสังคม (Social Class) เช่น lower class / upper class) ดังนั้น queer เดิมทีน่าจะมีความหมายประมาณว่า ไม่ชัดเจน/คลุมเครือ / อ้อม ๆ / ไม่ตรงจุด ... ต่อมาคำว่า Queer ก็มาใช้ในหมวดของเพศหลากหลาย หมายถึง คนที่ไม่จำกัดเพศตัวเอง จะรักใครชอบใครก็ได้ *ไม่ชัดเจนในเพศใดเพศหนึ่งของตัวเอง


**********************

I = Intersexual คนที่เกิดมามีลักษณะทางกายที่แตกต่างจากปกติ ไม่สามารถระบุเพศชัดเจนได้ จะชายก็ไม่ใช่ จะหญิงก็ไม่เชิง มันอยู่ระหว่างชายและหญิง ยากที่จะระบุได้ชัด คำนี้ใช้เน้นด้านกายภาพโดยกำเนิด ไม่ได้หมายถึงรสนิยมทางเพศหรือเพศสภาพที่ต้องการ... คำ inter- เป็นตัววางหน้าคำหลัก (prefix) มีรากศัพท์มาจากลาติน แปลว่า "ระหว่าง" / "ท่ามกลาง" ซึ่งสื่อถึงความไม่แน่นอน/ไม่ชัดเจน ดังนั้น Intersexual (Inter-sex-ual)  แปลแบบง่าย ๆ ว่า บุคคล/คนที่เกิดมามีลักษณะทางกายโดยกำเนิดที่แตกต่างจากปกติ

**********************

A = Asexual คำนี้ใช้อธิบายคนที่ไม่นิยมมีกิจกรรมทางเพศ ไม่ฝักใจทางเพศ อาจจะเป็นเพราะความเชื่อทางศาสนา หรือความสนใจส่วนบุคคล ถ้าเรามองรากศัพท์ตัว a- เป็นตัวรากศัพท์ที่มาจากรีก แปลว่า "ไม่" ทำหน้าที่เป็นตัววางหน้าคำหลัก (prefix) ส่วน sex-ual ก็หมายถึง ซึ่งเกี่ยวกับความรักความใคร่ในเพศ / ซึ่งเกี่ยวกับการรักร่วมเพศ (-ual เป็นตัวเพิ่มหลังคำหลัก เป็น suffix ที่เปลี่ยนหน้าที่คำให้เป็นคุณศัพท์ และบางกรณีก็เป็นได้ทั้งคุณศัพท์และคำนาม เช่น intellect-ual) พอรวมคำก็กลายเป็น asexual (a-sex-ual) แปลแบบง่าย ๆ ว่า บุคคล/คนที่ไม่นิยมมีกิจกรรมทางเพศ


**********************

+  สัญลักษณ์เครื่องหมาย + หมายถึง การรวมถึงเพศอื่น ๆ นอกเหนือจาก LGBTQIA เพราะยังมีหลายเพศที่ยังไม่ปรากฎแน่นอน เลยเพิ่ม + เข้าไปแทน


**********************

สรุป คือ LGBTQIA+ และกลุ่มเพศหลากหลายเหล่านี้เขามีภาษาเฉพาะ เรียกว่า Sexist Language ด้วย แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับสากล

 

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
https://www.etymonline.com/search?q=lesbian
https://www.curvemag.com/blog/blogger/lesbians-the-5-main-types/
https://www.montclair.edu/lgbtq-center/lgbtq-resources/terminology/
https://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/1363460720902711
https://en.wikipedia.org/wiki/Gay

หมายเลขบันทึก: 702841เขียนเมื่อ 28 พฤษภาคม 2022 22:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม 2022 22:19 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท