ช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมา คณะพวกเราทั้งหมดเกือบหกสิบชีวิต ได้พากันเดินทางไปดูงานที่นาของอาจารย์แสวง ที่ขอนแก่น ตามคำท้าทายของอาจารย์ว่าให้ไปดู ความเป็นไปได้ของการทำนาไม่ไถ ซึ่งเป็นที่กังขาของชาวบ้านมากว่า เป็นไปได้อย่างไร หญ้ามันจะไม่ขึ้นหรือ มันจะได้กินข้าวหรือ ก่อนหน้านั้นอาจารย์ได้มีโอกาสมาพบปะเสนอความคิดกับชาวบ้านของเราแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นก็กระตุกความคิดชาวบ้านมาก ดิฉันก็เห็นเป็นโอกาสที่ชาวบ้านจะได้ทดลองสิ่งที่เป็นสุดยอดของการทำนา ซึ่งจริง ๆ แล้วชาวบ้านเคยได้มีโอกาสปะทะกับความคิดแบบนี้แล้วครั้งหนึ่งครั้งที่พากันไปดูงานที่บุรีรัมย์ ค้างกับพ่อคำเดื่อง ๑ คืน แต่คิดว่าตอนนั้นสิ่งที่รู้นั้นยังมีฐานรองรับไม่พอ ทำให้สิ่งนั้นก็ลอยไปตามลม ไม่ลงหลักปักฐาน
คราวที่ได้เจอกับอาจารย์แสวง ชาวบ้านเหลือใจมากพูดไม่ทันอาจารย์ คิดก็ไม่ทัน แต่ก็เป็นบรรยากาศที่ท้าทายความคิดอ่านอย่างดุเดือด ดูเหมือนชาวบ้านก็อยากต่อสู้กับการท้าทายของอาจารย์ หรือว่าบริบททางเศรษฐกิจสังคมมันช่วยทำให้ต้องสนใจมากขึ้น เนื่องจากมูลค่าการลงทุนในนาแพงขึ้นทุกกปี เหนื่อยเพิ่มมากขึ้นทุกปี แรงงานคนก็น้อยลงไปเรื่อย ๆ ไม่แน่ใจ การทำนาที่จะปรับมาเป็นการปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่ของเขาตามแบบของเขา เราเป็นเพียงแต่ผู้ช่วย แต่ที่แน่ ๆ คือการพบปะครั้งนั้นเป็นโอกาสที่จะชาวบ้านจะได้ปะทะสังสรรค์กับนักวิชาการ(เดินดิน)ผ่านการทำงานในวิถีของชาวบ้านเอง ส่วนดิฉันเองก็คิดว่าก็จะได้พลังจากอาจารย์แสวงมาช่วยทำให้น้ำหนักของการผลักดันการทดลองของชาวบ้านซึ่งเป็นงานของดิฉันโดยตรง เมื่อได้ประจักษ์แก่สายตา ชาวบ้านก็กลับมาซุบซิบ ซุบซิบ กัน
“ เพิ่นปลูกต้นไม้หลาย “
“ ต้นไม้อยู่แน่นกันเลย "
“ผมยังไม่เชื่อ แต่ผมจะทดลองก่อน “ "ปลาก็มี ผักก็มี “ “ ข้าวงามหลาย แต่ว่ามันปนกันไปหมด เพิ่นจะขายได้หรือ หรือว่าจะเกี่ยว จะกินอย่างไร “
พวกเราได้เห็นการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุที่ย่อยสลายได้มาคลุมดิน ถนอมดินไว้จากความรุนแรงของดินฟ้าอากาศ การออกแบบนาที่ใช้ความรู้เข้ามาประกอบ และความพากเพียรของอาจารย์และอาจารย์แม็คที่ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ
เดิมดิฉันก็สนใจเศษวัสดุที่เหลือใช้จากครัวเรือน จากร้านค้า จากต้นไม้ จากแม่ค้า จากเพื่อนบ้านเหมือนกัน ดิฉันกับคุณปุ๊ คุณทุวัน ประกิต เก้า หนุ่ย น้อง ๆ ที่เคยทำงานด้วยกันต่างคราวต่างวาระ ล้วนมีประสบการณ์การขนเศษจากข้างถนนเพื่อไปถมในนา ก็ดีที่น้อง ๆ เหล่านี้ไม่รู้สึกอายกับการไปขน “ ขยะ” ในความรู้สึกของผู้อื่น
สำหรับดิฉันการได้เรียนรู้จากอาจารย์แสวงทำให้รู้สึกคึกคักว่า สิ่งที่เราทำนั้น มีคนอื่นเขาก็ทำอยู่แล้ว สิ่งที่เคยขนก็มีเปลือกมะพร้าว ฟาง เศษทุเรียน เขาเอามาเททิ้งให้ในบ้าน
ดิฉันรู้สึกว่าแรงเหนี่ยวนำจากขยะต่อดิฉันมีมากขึ้นทุกที จะว่ามากก็ไม่เชิง แต่เป็นแบบที่เกี่ยวข้องกันมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ นับตั้งแต่ได้ยินเรื่อง นาไม่ไถ ซึ่งจำเป็นต้องมีวัสดุคลุมดิน ต่อมาแถวบ้านดิฉันโค่นต้นฉำฉาลง ถากลำต้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย วันรุ่งขึ้นดิฉันก็รีบไปขนมากองไว้ที่บ้าน ต่อมาก็ทยอยไปขนใบของมัน ช่างที่ทำงานอยู่บอกว่ามาเอาเลยครับ ขนอยู่หลายวัน คนก็มอง บ้างก็ถามเอามาทำอะไร ต่อมาเห็นกองใบไม้ที่พนักงานกวาดถนนกวาดกองไว้รอเก็บไปทิ้งที่อื่น ก็ไปเก็บ แสนสบายใบไม้สะอาดและเบา สนุกกับการเก็บมาก คนผ่านมาถามว่าทำอะไร ดิฉันบอกว่ามาช่วยเทศบาลกวาดถนน ต่อมาดิฉันก็ยกระดับขึ้นมา เพื่อนบ้านขายยำสารพัดยำ หนึ่งในนั้นคือยำหอยแครงวันละเกือบ ๑๕ กก. ก็เลยลองเอามาปูทางเดินในสวนที่บ้าน แล้วก็คิดเผื่อมันจะทำประโยชน์ได้ เป็นแคลเซียมหรืออื่น ๆ ก็เลยขออาจารย์ทนาย ( เพื่อนร่วมงาน ) ให้ช่วยขุดหลุมเก็บหอยไปเลย เผื่อจะใช้จะได้ตักเอาในหลุม ทำหลุมเป็นทางเดิน ทางน้ำไปสู่กอไผ่หลังบ้าน เผื่อได้กินแกงหน่อไม้นอกฤดู แล้วก็คิดจะทดลองอื่น ๆ ต่อไป พี่ข้างบ้านกระซิบเบา ๆ รู้ไหม เขาเรียกบ้านตุ๊ว่า บ้านขยะ ดิฉันชอบใจเป็นอันมาก เหรอ...ดี...
ยกระดับขึ้นมาอีก คราวนี้ปั่นจักรยานไปไหน ก็เที่ยวได้สอดส่ายมองเศษวัสดุต่าง ๆ เห็นเยอะแยะเลยที่จะเอามาทำประโยชน์ได้
ดิฉันได้ทำโครงการที่จะจัดการเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ไม่ผ่านการอนุมัติ ดิฉันคิดว่าต้นตอของการแยกขยะอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ การรณรงค์ให้คนมีจิตสำนึกที่จะแยกขยะด้วยการโฆษณา เป็นถ้อยคำและตัวหนังสือ แต่อยู่ที่สำนึกจากภายในที่จะเห็นคุณค่าของสิ่งที่สลายตัวเองไปตามธรรมชาติของเขา เราไปจัดวางเขาไว้ให้ถูกที่ก็จะกลายเป็นคุณูปการต่อเนื่องให้กับสิ่งอื่นๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตการปลูก การกินของเขาเอง
ล่าสุดนี้เราไปล่าขยะในงานกาชาดเลย ไปเก็บเศษเปลือกมะพร้าวน้ำหอมที่เขาเอามาขาย กองเป็นภูเขาเลากา ก็พากันไปเก็บ เห็นลูกมะพร้าวที่เขาคว้านเนื้อไม่หมด กินก็ยังได้ เอามาทำน้ำหมักหอมสมชื่อ เอามาทำกับข้าวส่วนหนึ่ง เพราะมะพร้าวที่แก่เขาจะทิ้งเลย เราก็มีความสุขกับการเก็บ หลัง ๆ มาดิฉันเป็นเอามากถึงขั้นว่า ผ่านไปเห็นกองใบฉำฉาที่ทิ้งอยู่ข้างทาง ถึงกับน้ำลายไหล นึกจินตนาการไปว่า เอาไปคลุมโคนต้นไม้ ต้นไม้คงกินแซ่บอีหลี อะไรก็ไม่ร้ายเท่าเวลาไปกรุงเทพแล้วไปเห็นเศษสิ่งของพวกนี้ โอย ถ้ามีใครทำอะไรขึ้นมาจากวัสดุเหล่านี้น่าจะเป็นนวัตกรรมอันวิเศษ
สิ่งเหล่านี้คงไม่ใช่เรื่อง “ใหม่ “ ก่อนหน้าที่ดิฉันทำ มี อาจารย์แสวง พ่อคำเดื่อง ฟูกูโอกะ และอาจมีใครอื่น ๆ อีกหลายจนนับไม่ถ้วนได้ทำแล้ว แต่เราไม่รู้ดิฉันถึงกับบังอาจคิดสงสัยว่า มันไม่มีคำว่า “ ใหม่ “ เหมือน ๆ กับคำว่า “ ล้มเหลว สำเร็จ ถูก ผิด ....และอาจมีชุดคำอื่น ๆ “ ที่มันถูกสร้าง ถูกนำไปใช้โดยใครก็ไม่รู้ แล้วมันก็แพร่หลายมนุษย์ มีพัฒนาการมา เป็นแสน เป็นล้านล้านปี มันไม่น่าจะมีอะไรใหม่ ประเด็นความ “ ใหม่” น่าจะเกี่ยวพันกับบริบทอื่นๆ ....ขอหยุดไปเก็บขยะก่อนค่ะ ความคิดกำลังพลุ่งพล่านแต่ยังเขียนออกมาให้ลงตัวไม่ได้ ......ติดตามอ่านตอนต่อไปค่ะ....ที่จะตอบคำถาม อาจารย์แสวง การ "รู้ใหม่".....
ดิฉันไม่ชอบสู้ค่ะ กลัวหมดแรง ดิฉันชอบดันในเงื่อนไขที่มีฐานอยู่แล้วและสอดคล้องกับตัวเองด้วย ดิฉันรู้ว่าจะเคลื่อนแบบไหนมันถึงจะอบอุ่นในใจตัวเอง ดิฉันชอบสัมพันธภาพของชีวิตโดยเฉพาะกับผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่กับฐานทรัพยากรธรรมชาติตรง ๆ
แน่นอนดิฉันมีขีดจำกัดด้วย และดิฉันคิดว่า ความเพ้อและความฝัน ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง คืนเดือนดับ หน้าเกี่ยวข้าว ในความรัก ความห่วงใยกันและกัน แสงนวลของพระจันทร์นั้นอ่อนหวานนะคะอาจารย์ จะอ่อนหวานมากยิ่งหลายเท่า ถ้าหมู่ชาวบ้านของเราเป็นไทแก่ตนเอง เพราะถ้าถึงตอนนั้น เราก็จะสามารถไปนอนในทุ่งนาที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องกลัว หวาดระแวง ชาวบ้านก็จะพากันฟื้นประเพณี สร้างสรรค์ศิลปอันอ่อนหวานให้เราได้ดื่มชิม ข้าวปลาอาหารก็จะดกดื่นเต็มผืนแผ่นดิน...... ความเพ้อฝันได้สร้างแผนที่เดินทางในอนาคตเตรียมไว้ให้เราล่วงหน้า...(บางคำยืมมาจาก พี่ใหญ่..วิศิษญ์ วังวิญญู)
หลับหรือตื่นก็หาใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
ความคิดสุดท้าย ชมหรือว่าไร้สาระคะอาจารย์
ตุ๊..เขาเขียนนิยายอยู่แล้ว เล่าฮูไม่รู้อะไร
นี่คือนวัตกรรมนิยาย
คนอื่นเขียนชีวิตจริงเป็นนิยาย
แต่ยายคนนี้ เขียนนิยายให้เป็นชีวิตจริง
ไม่ดังก็ยังมีข้าวมีผักปลากิน
เพราะแกทำชีวิตให้อร่อยและปลอดภัย
นี่แหละมนุษย์อินทรีย์ตัวจริง
ขนาดลมหายใจยังไร้สารพิษเล๊ย ยายคนนี้หน่ะ