วันนี้..เราเริ่มประชุมกลุ่มนักศึกษาตามแบบที่จำลองมาจาก กทม. ในช่วงที่ผมชวนนักศึกษาโข่งลงกรุงเทพ เรามีโปรแกรมไปโน่นไปนี้ตลอดวัน และบางรายการก็โชคดีมาก โดยเฉพาะการมีโอกาสได้ไปสังเกตการณ์ประชุมการปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ของชาว(ส.ค.ส.) ที่สำนักงานใหญ่ ขอขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์ให้กรุณาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ทำให้เกิดความตระหนักในการออกแบบวิธีทำงานในกลุ่มของเรามากขึ้น
ผมชอบบรรยากาศวันนั้นมาก มีผู้ร่วมงานรุ่นกระเต๊าะห้อมล้อมท่านอาวุโส ท่านอาจารย์ใหญ่ชี้ชวนคนโน้นคนนี้ให้เล่นบทพระเอกนางเอก เสนอผลงานที่รับการบ้านไปดำเนินงานนำมาเล่าสู่กันฟัง หลังจากนั้นก็มีความเห็นของเพื่อนร่วมงานช่วยต่อแต้มความคิดเห็น ท่านอาจารย์ใหญ่ คอยให้ข้อสังเกต ให้แง่คิด ให้กำลังใจ ผมนั่งคิดในใจว่าบุคลากรรุ่นกระเต๊าะเหล่านี้ช่างโชคดีเหลือเกิน ที่มีโอกาสได้เรียนรู้กับท่านผู้คงแก่เรียนระดับอ๋องเรียกพี่ ทรัพยากรบุคคลเหล่านี้ คงจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างKM.ประเทศไทยต่อไปในอนาคต
ก็อย่างที่ผมบอกในที่ประชุมวันนั้น เมื่อเห็นสิ่งดีๆเราก็เก็บเกี่ยวมาลงมือทำที่บ้านเราบ้าง เราเรียกวิธีนี้ว่า “แกะรอยความรู้” ตามที่จั่วหัวไว้นั่นนะครับ เราจัดกันง่ายๆ เอาเก้าอี้มาล้อมวง แล้วก็ชวนสมาชิกมาคุยกัน บังเอิญว่าช่วงนี้มีน้อง(กุ๊ก)น.ส.ราณี บำเพชร นักศึกษาระดับปริญญาโท จากสถาบันวิจัยสังคมจุฬา ที่มาทำวิทยานิพนธ์ที่นี่เกือบ 2 ปีมาแล้ว มาลงพื้นที่เก็บข้อมูลงวดสุดท้าย ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนวิธีการทำงาน การเก็บข้อมูล แง่มุมต่างๆในการทำวิทยานิพนธ์
เราประชุมกัน4-5 คน แต่ก็มีอาจารย์ที่ปรึกมาร่วมแลกเปลี่ยนให้ข้อแนะนำด้วย โดยการโทรศัพท์แล้วเปิดโปรแกรมขยายเสียงไว้ ทำให้นักศึกษาได้ยินเสียงอาจารย์ที่ปรึกษาโต้ตอบในประเด็นต่างๆ ทำให้บรรยากาศการหารือกันในครั้งที่ 1 เป็นการปูพื้นฐานที่จะสานต่อในครั้งต่อไป ทุกคนได้มีการบ้านให้กับไปทำ เช่น
1 ในการเก็บข้อมูลในแต่ละบทควรหลากหลายและสมบูรณ์แบบมากที่สุด เพื่อที่จะนำเอาภูมิปัญญาพื้นถิ่นมาประยุกต์เข้ากับความรู้สายวิชาการที่เหมาะ แล้วคัดกรองให้เป็นชุดความรู้ที่เหมาะสมต่อการนำมาประกอบอาชีพในชุมชน โดยยึดหลักการ วิชา+อาชีพ = การสร้างวิชาชีพในชุมชน
2 ความรู้ที่ผสมผสานขึ้นมาใหม่ มีการนำไปทดลองใช้ในกลุ่มเป้าหมาย แจกจ่ายตามความเหมาะสมของแต่ละบทที่ว่าด้วยเรื่องนั้นๆ
3 ถอดรหัส KM. ว่ามีการนำความรู้ใหม่ไปปรับใช้ในกรณีไหนบ้าง ใช้อย่างไร ในลักษณะใด ผลลัพธ์เป็นอย่างไร
4 วิเคราะห์วิธีการนำความรู้ไปใส่ลงในเรื่องนั้นๆ ชาวบ้านคิดและทำอย่างไร แตกต่างหลากหลายในประเด็นใดบ้าง
5 มีการนำบทเรียนเข้าที่ประชุมกลุ่ม เพื่อสังเคราะห์ชุดความรู้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวิถีชุมชน
6 สรุปบทเรียนผ่านเวทีวิชาการ ที่เราจะจัด “วันปันผลความรู้”ขึ้น ตามไตรมาสของงาน
7 ควรได้ข้อเสนอแนะในส่วนที่เหมาะกับชาวบ้าน และในส่วนที่ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณา
8 สุดท้าย สิ่งทั้งหมดที่ศึกษามา ควรเป็นตำราว่าด้วยเรื่อง…..ชุดความรู้ระดับชุมชน
ครั้งแรกเอาพอหอมปากหอมคอแค่นี้ ในสัปดาห์ต่อไปนักศึกษาจะเอาบทที่ได้เรียนรู้กับชุมชนหลังจากที่ปรับทิศทางแล้วมาเข้าวงสนทนา และจากนี้ไปบทที่จะไปเชื่อมโยงกับสายวิชาการ นอกจากการสืบค้นจากเว๊ปไซด์ต่างๆตามที่ท่านอาจารย์ใหญ่แนะนำแล้ว ช่วงนี้จะมีพันธมิตรวิชาการลงมาหารือวางแผนงานวิจัยบ่อยครั้ง นักศึกษาต้องไปทำการบ้านมาเสนอว่าจะเชื่อมโยงชุดความรู้สายวิชาการ จากนักวิจัยนักปฏิบัติการในส่วนกลางอย่างไร หลังปีใหม่ผ่านไป เราจะเช็คแฮนด์กับนักวิจัยมืออาชีพที่จะลงมาถ่ายเทความรู้ระหว่างกันเต็มลูกสูบแล้วละครับ
ตัวอย่างที่ดีคือการปฏิบัติให้เห็นจากพี่น้อง สคส. ตอนนี้นักศึกษาทุกคนที่หลงทิศหลงทางไปบ้างกำลังพยายามวิ่งเข้าลู่ตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ใหญ่ทุกท่าน เพื่อเก็บความรู้เก็บงานมาสานต่อเป็นชุดความรู้ได้ดังใจหมาย
ขอบคุณค่ะ
การสังเคราะความรู้ให้เป็นชุดความรู้ที่เหมาะสมกับชุมชน ผมมีแนวคิดว่าสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุแห่งการใช้ชุดความรู้ที่ไม่ได้สังเคราะห์ด้วยตนเองของชุมชน ชุมชนจึงอ่อนแอถึงขนาดข้าวคั่ว
หัวหอม พริกป่น ตะไคร้ ใบมะกรูด ต้องซื้อกิน
กระบวนการ AAR (After Action Review) เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้ในกระบวนการจัดการความรู้ที่ทรงพลัง เพื่อทำให้เราทราบว่า
สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีพลังอย่างมากครับที่จะใช้ในขับเคลื่อนการจัดการความรู้ต่อไป
ด้วยความเคารพ
อุทัย