การดำรงชีวิตภายใต้สถานการณ์โควิด 19 กำลังแพร่เชื้อระบาด
ดร.ถวิล อรัญเวศ
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-2019 ในไทย และทั่วโลก ผู้คนต้องตกอยู่ในการดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก ต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ เสมือนจะมีคนมาปองร้าย ด้วยการนำเชื้อไวรัสโควิด 19 มาติดเรา และเชื้อไวรัสก็มีการพัฒนาตนเองไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้มนุษย์เราได้ตามทัน
ช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน เข้าหาธันวาคม 2564 จะใกล้วันสิ้นปี นอกจากจะ
ระมัดระวังเชื้อไวรัสโตวิด 19 พวกเรายังต้องระมัดระวังอุบัติเหตุอีกด้วย เพราะ
ใกล้วันสิ้นปี ถือว่าเป็นระยะช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิตคนเรา มักจะวัดกันได้ด้วยว่า ใครจะ
กลับบ้านเก่า หรือใครยังจะมีชีวิตอยู่เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้
มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม จึงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยลำพัง ต้องอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ตั้งแต่แรกเกิดไปจนตาย
เมื่อยังเป็นเด็ก พ่อแม่คอยดูแลเอาใจใส่ เลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม อบรมสั่งสอน
ให้รู้ดีรู้ชั่ว มีกิริยามารยาทเรียบร้อย ให้กระทำในสิ่งที่ดี ละเว้นสิ่งที่ชั่วร้าย ให้มีพฤติกรรมเป็นที่พึงประสงค์ของสังคม เมื่อถึงวัยเรียนท่านก็ส่งให้เรียนในโรงเรียนที่ดี หวังให้ลูกมีชีวิตที่ดีมีความรู้พอที่จะไปประกอบสัมมาอาชีพได้อย่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข
หน้าที่ของพ่อแม่ที่มีต่อลูก เป็นวงจรชีวิตที่ไม่รู้จบ ทุกคนถือเป็นภาระหน้าที่สำคัญ เมื่อเด็กได้เติบใหญ่เป็นผู้มีการศึกษา หารายได้เลี้ยงชีพได้แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องมีคู่ครอง พ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดยังต้องทำหน้าที่ช่วยเลือกคู่ครองที่เป็นคนดีมาเป็นคู่ชีวิต
เมื่อพ่อแม่เข้าสู่ผู้สูงวัย หรือวัยชรา ลูก ๆ ยังมีความหวังในการเลี้ยงดูหลานเหลน ผู้สูงอายุจึงเป็นบุคคลที่เป็นความหวังของลูกหลานตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะ
ต้องสู้กับภัยโควิด 19 ก็ตาม จะต้องประคองชีวิตไปด้วยกัน จนกว่าชีวิตจะหาไม่
สภาพประชากรไทยปัจจุบัน
ปัจจุบันประเทศไทยเรา กำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรครั้งสำคัญ คือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยสัดส่วนประชากรในวัยทำงานและวัยเด็กลดลง เนื่องจากอัตราการเกิดของประชากรลดลง ประชากรไทยโดยเฉลี่ยมีอายุยืนยาวขึ้นซึ่งสถานการณ์ของประเทศไทยก็ดำเนินไปเช่นเดียวกับนานาประเทศ กล่าวคือ การดำเนินนโยบายด้านประชากรและการวางแผนครอบครัวที่ประสบผลสำเร็จ ตลอดจนความก้าวหน้าในการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้คนไทยมีสุขภาพดี มีอายุยืนยาวขึ้น และมีโอกาสได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น มีความรู้และทักษะในการป้องกันและดูแลสุขภาพ ตลอดจนการวางแผนครอบครัวที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จากการคาดการณ์ของผู้สูงอายุ มีการคาดการณ์ว่าในปี 2583 ประเทศไทยจะมีอัตราส่วนผู้สูงอายุถึง 32.1 % ในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีประชากร 66,558,935 คน (ตามประกาศสำนักทะเบียน กรมการปกครอง ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562) 68,977,400 คน (ประมาณการประชากร ณ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 โดยสำนักข่าวกรองกลางแห่งสหรัฐอเมริกา) 69,626,000 คน (ประมาณการประชากร ณ พ.ศ. 2562 โดยสหประชาชาติ) 66.4 ล้านคน โดยมีประชากรวัยทำงาน (15-59 ปี) ร้อยละ 64.7 ประชากรวัยเด็ก (แรกเกิด- 14 ปี) ร้อยละ 16.8 ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 16.0 (ข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ) มีการคาดการณ์ว่าในปี 2583 ประเทศไทยจะมีประชากรลดลง เหลือร้อยละ 63.9 แต่มีโครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงอย่างมากคือ มีประชากรวัยทำงาน (15-59 ปี) ร้อยละ 55.1 ประชากรวัยเด็ก (แรกเกิด- 14 ปี) ร้อยละ 12.8 และมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) สูงถึงร้อยละ 32.1 ทั้งนี้เนื่องจากการมีอัตราการเกิดที่น้อยลง และการพัฒนาทางการแพทย์ที่ทำให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น
การดำรงชีวิตของผู้สูงวัย
วัยผู้สูงอายุ หรือวัยเกษียณ คือ 60 ปีขึ้นไป ในการดำรงชีวิตแบบสงบเรียบง่าย
พอเพียง จะทำให้ชีวิตมีคุณค่า เพราะวัยนี้ถือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชนแล้ว
การดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าของผู้สูงอายุ ย่อมนำมาซึ่งความสุข วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยเพิ่มคุณค่าในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขในผู้สูงวัย ได้แก่
1. ทำจิตใจให้สงบปล่อยวาง
โดยอาจใช้เวลาทำสมาธิ สวดมนต์ทำจิตให้สงบสดใสเบิกบานตอนเช้าหลังตื่นนอน
และตอนเย็นก่อนนอน
2. เดินออกกำลังกาย
ควรหาเวลาออกกำลังกายบ้าง โดยผู้สูงอายุไม่ควรออกำลังกายหักโหม
ไม่ควรวิ่งเร็ว หรือออกกำลังกายรุนแรงเพราะอาจจะทำให้การทำงานของหัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบและอาจถึงตายได้ง่าย
3. รับประทานอาหารให้เหมาะกับวัย โดยเฉพาะผู้สูงวัย
รัยปาะทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่กินตามอยากจนเกินไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ประเภทเนื้อวัวหรือสัตว์ใหญ่ ควรงดหรือลด หรือเว้น เช่น อาหารดิบๆ สุกๆ เพราะระบบการย่อยอาหารของคนสูงอายุอาจจะทำหน้าที่ไม่ปกติ ควรทานผักผลไม้เพื่อช่วยในการขับถ่าย ไม่ให้ท้องผูก
4. หาเวลาร่วมกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจเป็นครั้งคราว
ควรหาเวลาสังสรรค์กับเพื่อน ๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ โดยการทำกิจกรรมร่วมกัน
ไม่ว่าจะพักผ่อนหย่อนใจ เที่ยวงานบุญตามเทศกาล เข้าชมรมผู้สูงอายุด้วยกัน
5. เข้าวัดปฏิบัติธรรมในวันธรรมสวนะหรือวันพระ
การไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม ถือว่าได้มีโอกาสพบกันกับผู้คน ด้วยเฉพาะคนสูงอายุ
ด้วยกันและสนทนาธรรมตามกาล พูดคุยแต่เรื่องสนุก สร้างสรรค์ ชีวิตจะได้ไม่เหงา
6. พักผ่อนให้เพียงพอ
ผู้สูงอายุควรพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับสนิท ก่อนนอนทำสมาธิ ปลดปล่อย
ทำใจให้สดใส ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำใจให้สงบก่อนนอนและนอนให้หลับลึกหลับสนิท ตัดความวิตกกังวลให้หมดไป
7. หากิจกรรมทำยามว่างทำที่บ้าน
เช่น ออกกำลังกายเบา ๆ ปลูกผักสวนครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบพอเพียง
รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ และควรยึดหลักที่ว่า
“ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง ร่าเริงแจ่มใส ไร้วิตกกังวล จะพ้นความห่วงใย”
8. ห่างจากผู้คนที่จะทำให้ติดไวรัสโควิด 19
การดำรงชีวิตต้องมีสุขนิสัย กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือให้สะอาด
ไม่ประมาทเมื่อพบปะผู้คน รัดแมสก์เสมอ ใช้ชีวิตเว้นระยะห่าง
สรุป
การใช้ชีวิตภายใต้สถานการณ์โควิด 19 กำลังแพร่เชื้อระบาดของคนเรา รวมทั้งของผู้มีชีวิตสูงวัย จะต้องดำรงชีวิตแบบสำรวมตน เพื่อให้รอดพ้นภัยต่าง ๆ อันจะมากระทบ ไม่ประมาท พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายเสมอ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่ต้องไปดิ้นรนให้มาก ใช้จ่ายอย่างประหยัด หมั่นปลูกผักสวนครัวเป็นงานอดิเรก จะได้ลดรายจ่ายในครัวเรือน เวลานอนให้ทำสมาธิ หมั่นเจริญภาวนา เจริญมรณสติ จะทำให้ชีวิตเราไม่หลงตาย............
จริงเลยค่ะ ชีวิตจะได้อยู่ต่อก็ต้องใช้ชีวิตแบบสำรวมค่ะ หากเกิดโรคร้าย มีเงินก็ซื้อชีวิตไม่ได้นะคะ