ตอน : “ออม” ความยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนหัวใจคุณอำนวยเป็นนักจัดการ
ได้ออกไปเยี่ยมแปลงเกษตรของพ่อสำเริง เย็นรัมย์ ที่ บ้านตะแบง ตำบลหัวฝาย กิ่งอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ พ่อสำเริง เย็นรัมย์ เป็นคุณอำนวย ของฐานการเรียนรู้ ในโครงการจัดการความรู้ระดับชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์
จากการที่ได้พูดคุยถึงแนวคิดที่ทำให้มีหัวใจแกร่ง ลงแรงปรับเปลี่ยนแปลงนาข้าวที่มีรายได้เป็นรายปี กลายมาสร้างเป็นแปลงเกษตรที่มีรายได้เป็นรายวัน จนใช้หนี้สินใกล้หมดได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยหลักคิดที่ว่า ให้มองชุมชน(หมู่บ้าน) เป็นกลุ่มคนที่มาทำงานทำมาหากินในภูมิทำเลใกล้เคียงกัน ร่วมกิจกรรม เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ด้วยการจัดการที่เป็นการนำความรู้มาใช้พัฒนาพื้นที่ของตนเองให้ดีขึ้น เพื่อให้ตนเองอยู่ได้ และเป็นการต่อยอดความรู้ในการทำเรื่องอื่น ๆได้ เพื่อให้เกิดความพอ พอเพียง พออยู่พอกิน พอใช้ ไม่ต้องซื้อ หรือจ่ายเงินน้อยที่สุด สร้างความสมดุลย์ นั่นคือการทำให้มีความพอเพียง อยู่ได้ในสังคม แล้วสุดท้ายจะกลายมาเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติให้ชุมชนเห็น แล้วได้เลียนแบบวิธีการเพื่อไปต่อยอดความคิดของแต่ละคนได้ ด้วยหลักคิดต้น ๆ ที่พ่อสำเริงได้ปฏิบัตินั่นคือ การออม
ออม สั้น ๆ แต่ทำได้ยากหากไม่จัดการและวางแผน ออมแรกที่พ่อสำเริงออม คือ การออมน้ำ
น้ำ้เป็นปัจจัยหลักที่้ต้องใช้ในการเกษตร ต้องจัดการให้มีที่กักเก็บน้ำ ซึ่งพ่อสำเริงเลือกใช้วิธีการขุดบ่อ เลี้ยงปลาไว้เป็นอาหาร
ออมที่สอง คือ การออมดิน
เมื่อมีน้ำแล้วก็จะง่ายต่อการปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ การใช้ปุํยหมัก การปลูกพืชทำปุ๋ยสด ไม่ทำลายหน้าดิน ถือเป็นการออมดิน
ออมที่สาม คือ การออมต้นไม้
เป็นการปลูก พืช ผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้นต่าง ๆ ด้วยหลัการที่ว่าปลูกทุกอย่างที่อยากปลูกหากไม่ต้องการแล้วตัดทิ้งตอนโต แต่พ่อสำเริงบอกว่าไม่มีโอกาสได้ทิ้ง เพราะทุกสิ่งอย่างที่ปลูกลงดินไปแล้วกลับกลายเป็นเพิ่มมูลค่าได้ทั้งหมด ทั้งยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีด้วย ทุกอย่างที่ปลูกจะเกื้อกูลกัน
ออมที่สี่ คือ การออมทรัพย์
ทรัพย์ที่ได้จากการปลูกการเลี้ยง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นเงินออมของเกษตรกร เป็นการทำบัญชีจากการเหลือกิน ก็แจก แลก และขายหากยังเหลือเพื่อนำมาเก็บ
การออมแต่ละส่วนจะเป็นพลังในการต่อยอด และไปส่งเสริม เพิ่มค่า ให้กับอีกเรื่องหนึ่งเสมอ ความละเอียดอ่อนในการจัดการเพื่อให้งานประสบผลสำเร็จแต่ละเรื่อง ต้องใช้เวลาในการลองผิดลองถูกนาน แตัถ้ามีการจัดการความรู้ที่ดีก็จะทำให้ลดเวลาในการลองผิดลองถูก แต่สามารถที่จะต่อยอดความรู้ในเรื่องนั้น ๆ เพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่งได้
ถ้าเอา วุฒิการศึกษา เป็นนิยามของการมีความรู้
พ่อสำเริง แห่งบ้านตะแบง ของเรา จะไม่มี
ยังจำคำที่ท่านพูดกับผมว่า ไม่รู้หนังสือ ต้องให้ลูกหลานอ่านใหฟัง ป้ายที่เขียนไว้หน้าสวน ถ้าไม่มีคนอ่านให้ฟังก็ไม่รู้ว่าเขาเขียนอะไร
ถ้าเอา ชุดความรู้ในตัวคน เป็นนิยามของการมีความรู้ พ่อสำเริง คือห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่ ของทุกคน
ผอ.ศักดิ์พงษ์คะ พ่อสำเริงใช้ชุดความรู้ในตัวคน ความรู้จากต้นแบบ (ครูบาสุทธินันท์ และกลุ่มเครือข่าย) จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากการศึกษาดูงาน และที่สุดของที่สุดคือจากพลังหัวใจที่นำปรัชญาส่วนตัวของพ่อสำเริง มาใช้ นั่นคือ ททท (ทำทันที) เพื่อความอยู่รอด และพอเพียง
จึงสมควรทีจะเรียกได้ว่าเป็นห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่ของทุกคนจริง ๆ ค่ะ
อีกไม่นานทีมบูรณาการศาสตร์อาจจะลุยถึงเม็กดำนะคะ ฝากระลึกถึงทีม พ่อใหญ่ดา พ่อใหญ่เรือง และอีกหลาย ๆ พ่อ ด้วยค่ะ
ผมว่าครูน้อยน่าจะเข้าไปดูในแปลงพ่อสำเริงหน่อยนะครับ
นี่คือ แกนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ผมนึกออก
นอกนั้น ผมไม่เข้าใจครับ