หลังการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ ของ กสศ. เมื่อเช้าวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๔ ตกเย็นทีมงานของ สำนักครูฯ ก็ส่งสรุปคำแนะนำมาให้ช่วยเสริมความเห็น ต่อ ร่าง แผนงานพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ (2565 – 2567) ทำให้ผมคิดชื่อบันทึกนี้ออก ว่าในช่วง ๓ ปีที่สอง สำนักครูควรเน้นทำงานหนุนวงจรเรียนรู้ในโรงเรียน และระหว่างโรงเรียน
ย้ำว่า ควรเน้นให้โรงเรียนเป็นหน่วยปฏิบัติการ หรือหน่วยกระทำการ (agency) กสศ. เข้าไป empower และ networking ผ่านการร่วมเรียนรู้และตีความความสำเร็จเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ไม่เน้นเข้าไปโค้ชโรงเรียนอีกต่อไป เพราะการโค้ชส่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้รู้ดีกว่ากับผู้รู้น้อย (ความสัมพันธ์แนวดิ่ง) ต่อไปนี้เราต้องการหนุนให้ครูมีความมั่นใจที่จะเป็น “ครูผู้กระทำการ” (agentic teacher) ตามในบันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อเป็นครูผู้ก่อการ กสศ. เข้าไปหนุนความสัมพันธ์แนวราบให้แก่โรงเรียนและครู
โรงเรียนและครูที่ได้รับการสนับสนุนคือผู้ที่ลุกขึ้นมาเป็นผู้กระทำการ ไม่ใช่ผู้รอรับการช่วยเหลือ หรือการโค้ช เป็นผู้กระทำการ หรือริเริ่มการพัฒนาเพื่อยกระดับการพัฒนานักเรียนของตนอย่างมีเป้าหมาย ทั้งเป้าหมายใหญ่ เป้าหมายรายปี เป้าหมายรายเทอม เป้าหมายรายคาบ และเป้าหมายรายคน (นักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ) การบรรลุเป้าหมายในระดับหนึ่งที่มีข้อมูลหลักฐานพิสูจน์ เมื่อนำมาตีความว่าผลดีนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เป็นนวัตกรรม
๓ ปีที่สองของ กสศ. ควรมุ่งหนุนการสร้างนวัตกรรมโดยทีมโรงเรียน ตามแนวทางข้างต้น และหาทางสื่อสารสาธารณะในวงกว้าง และสื่อสารนโยบายสู่จุดจำเพาะของหน่วยนโยบาย เพื่อสร้างเงื่อนไขและสร้างระบบนิเวศเพื่อให้โรงเรียนดำเนินการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน และการดูแลให้นักเรียนได้รับ AREQ ได้สะดวกขึ้น มีพลังยิ่งขึ้น A = Access (ได้เข้าเรียนในระบบการศึกษา), R = Retention (ไม่หลุดออกนอกระบบ), E= Equity (ความเสมอภาคในการได้รับการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม), Q = Quality (คุณภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้)
ย้ำว่า ๓ ปีที่สอง (2565 – 2567) สำนักครูฯ ต้องไม่บริหารงานแบบเดิมๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เลิกส่งเสริมการโค้ชครูและโรงเรียน เปลี่ยนไปเน้นการหนุน (empower) และสร้างเครือข่ายนักสร้างนวัตกรรม และนักเรียนรู้จากการทำหน้าที่โรงเรียนและครูอย่างมีอุดมการณ์ และมีความมุ่งมั่นยกระดับศักดิ์ศรีวิชาชีพครู
ในช่วง ๓ ปีแรก (2562 – 2564) สำนักครูฯ ดำเนินการแบบ exclusive คือทำในโรงเรียนนำร่องประมาณ ๗๐๐ โรงเรียน ในช่วง ๓ ปีที่สอง (2565 – 2567) สำนักครูฯ ควรเปลี่ยนมาทำงานแบบ inclusive คือเปิดกว้างแก่โรงเรียนที่ต้องการเข้าร่วมอุดมการณ์
ในช่วง ๓ ปีแรก (2562 – 2564) สำนักครูฯ มีเงินทุนสนับสนุนเป็นเสน่ห์ดึงดูด ในช่วง ๓ ปีที่สอง (2565 – 2567) สำนักครูฯ ควรเลิกใช้เสน่ห์นั้น หันไปใช้เสน่ห์ของการจัดการความสัมพันธ์ ที่ช่วยให้โรงเรียนและครูผู้มีอุดมการณ์ทำงานง่ายขึ้น ที่มีที่ยืนและพื้นที่กระทำการ เป็น “ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” (agent for change) ไม่ใช่ผู้ถูกเปลี่ยนแปลง
ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าในเรื่องใด ต้องทำงานในวงจรการเรียนรู้เข้มข้นและระมัดระวัง เพราะธรรมชาติของกิจการสร้างสรรค์นั้น มีความเสี่ยงสูง ความไม่ชัดเจนสูง โอกาสไม่สำเร็จสูงกว่าโอกาสสำเร็จ การทำงานจึงต้องทำในสภาพที่มีการเรียนรู้สูง จุดนี้แหละที่ กสศ. ควรเข้าไปปฏิบัติการ คือหนุนวงจรการเรียนรู้ของ “ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” ในระดับโรงเรียน เพื่อช่วยโรงเรียนและครูนวัตกรให้กระทำการได้สำเร็จ ให้ทีมงานของโรงเรียนกล้าตั้งเป้าหมายการพัฒนาโรงเรียนในระดับ “คาดหวังสูง” (high expectation) กสศ. และภาคีเข้าไปให้ “การสนับสนุนสูง” (high support) แก่ทีมเหล่านั้น
หลักการ High Expectation, High Support เป็นหลักการของการเรียนรู้ ทั้งในระดับบุคคล และในระดับระบบ ดังระบุในหนังสือ สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน การศึกษาไทยในปัจจุบันขาดแคลนความมั่นใจตนเองทั้งในระดับผู้เรียน และระดับโรงเรียนและครู เราต้องช่วยกันเปลี่ยนสภาพแวดล้อมหรือระบบนิเวศของโรงเรียนและครู ให้เป็นระบบที่ให้ความไว้วางใจและศรัทธาให้ทำหน้าที่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง และเข้าไปหนุน (empower) ให้ทำหน้าที่นั้นได้สำเร็จ
นำเอา High support เข้าไปแทนที่ high control ตามสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
กสศ. หนุนความมั่นใจแก่โรงเรียนและครู ผ่านการจัดกระบวนการร่วมกันตีความ หาความหมายหรือคุณค่า และทำความเข้าใจ (คำถาม why) ผลของการริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดำเนินการ และนำเอานวัตกรรมน้อยใหญ่ ออกเฉลิมฉลองร่วมกันในสังคมไทยผ่านการสื่อสารสาธารณะ
ทั้งหมดนั้น เท่ากับ กสศ. หันไปเน้นการจัดการผลกระทบ แทนที่การจัดการทุนสนับสนุนที่ใช้ในช่วง ๓ ปีแรก
วิจารณ์ พานิช
๓๐ ก.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น