การทำหน้าที่กรรมการสรรหาคณบดีคณะการแพทย์แผนไทย ของ มอ. และการเสวนากับบุคลากรของคณะ รวมทั้งเสวนากับผู้ได้รับการเสนอชื่อ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๔ กระตุ้นให้ผมเขียนบันทึกนี้ เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้มุมมองเรื่องการแพทย์แผนไทยของผมเปลี่ยนไป
คณะการแพทย์แผนไทยที่เข้มแข็งจะช่วยยกระดับการพัฒนาประเทศไม่เฉพาะด้านการเป็น medical hub เท่านั้น ยังจะมีส่วนช่วยยกระดับการท่องเที่ยวในด้าน wellness อีกด้วย และแน่นอนว่า ในยุคที่ประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงอายุ และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังระบาด การแพทย์แผนไทยจะมีบทบาทได้มาก
แต่การแพทย์แผนไทยต้องรีบพัฒนาความเป็นวิทยาศาสตร์ หรือพัฒนาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือต่อยาสมุนไพร และต่อเวชปฏิบัติแผนไทย ที่เรียกว่า CPG – Clinical Practice Guidelines
คณะนี้เริ่มก่อตั้งปี ๒๕๔๗ (๑) โดยมี รศ. ดร. สนั่น ศุภธีรสกุล เป็นคณบดี ได้วางรากฐานของคณะไว้อย่างดีมาก คือมีความเข้มแข็งทั้งด้านวิชาชีพ และด้านวิชาการ มีการจัดการให้สองส่วนนี้ทำหน้าที่เป็นแรงเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างหลักฐานความน่าเชื่อถือของเวชปฏิบัติแผนไทย และยาแผนไทย
หลักฐานจากการปฏิบัติ ในการให้บริการ โดยเฉพาะการนวดแผนไทย ที่ทำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ ทำให้บริการนวดแผนไทยเป็นที่นิยมมาก กลายเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่แม้จะสะดุดไปบ้างในยุควิกฤติโควิด แต่ในระยะยาวจะยังดำรงเสน่ห์อยู่ได้
การก้าวสู่สังคมสูงอายุ ทำให้การแพทย์แผนไทยยิ่งมีคุณค่า หากได้พัฒนาคุณค่านี้ร่วมกับวิชาชีพกายภาพบำบัด จะยิ่งช่วยให้ทั้งสองวิชาชีพมีความมั่นคง และมีคุณค่าเพิ่มขึ้น
ไม่น่าเชื่อว่า การแพทย์แผนไทยที่สงบนิ่งมาเกือบศตวรรษ เมื่อการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามา บัดนี้ เป็นยุครุ่งโรจน์ของการแพทย์แผนไทย ที่เราเดินถูกทาง คือนำเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยพิสูจน์ผล และช่วยปรับวิธีการให้เกิดประสิทธิผลเพิ่มขึ้น
วิจารณ์ พานิช
๑๒ ต.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น