ต้นเรื่องของคำถาม “เรามีพระไว้ทำไม” มีที่มาจากการเข้าไปเสพเรื่องราวกรณี การถอดถอนเจ้าคณะจังหวัดและกรณี พม.สองรูปที่กำลังเป็นที่สนใจของผู้สนใจ
ก่อนนั้นเคยเชื่อต่อๆกันจากคำพูดของคนวัฒนธรรมเดียวกันว่า "เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ" แต่เมื่อขยับตัวออกไปไกลและถามตัวเองว่า ข้อความนั้นมีความจริงเพียงใด โดยคิดถึง “พุทธแสดงทัศนะอะไรไว้” จะพบว่า ข้อความนั้นไม่ครอบคลุมข้อความที่สอง เพราะสถานการณ์ที่ปรากฏทั้งในเรื่องการเมืองและวิถีการดำรงชีวิตมันทาบลงกันไม่หมด ช่วงหลังจึงมักย้อนถามคนที่พูดว่า “เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ” ว่า “แน่ใจหรือ” เพื่อนมุสลิมคนหนึ่งพูดถึงประเด็นพุทธศาสนา ผมตอบว่า "ผมไม่แน่ใจว่าพุทธศาสนาคือศาสนา และศาสนาพุทธในประเทศไทยคือพุทธศาสนา" มีบางข้อความแย้งในตัวผมเอง “เออนะ เรานี่คิดมากจนเพี้ยนไปแล้ว”
จากคำถามที่เกิดในสมอง “เรามีพระไว้ทำไม” ภาพที่ปรากฏในชีวิตประจำวันคือ การที่ชาวพุทธกราบไหว้พระผู้มีลักษณะทางกายภาพไม่ต่างจากผู้กราบ เพียงแต่การใส่เสื้อผ้าที่ต่างกัน และความเชื่อเรื่องจิตใจที่งามกว่า บางภาพสร้างความปลื้มใจให้กับผมไม่น้อย/รู้สึกดี เช่น ภาพเด็กน้อยรอคอยพระที่เดินมารับอาหารบิณฑบาต ภาพคุณยายแก่ๆ ถือดอกไม้กำหนึ่งและปิ่นโตเดินออกจากบ้านไปวัด
มามานั่งคิดว่า “เรามีพระไว้ทำไม” ถ้าย้อนไปในพุทธกาล หากข้อเขียนที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นเอง แต่เป็นการบันทึกสิ่งที่ปรากฏในช่วงเวลานั้นจริง อาจจะมีการบอกกล่าวกันมาเกินร้อยปีก่อนบันทึกแต่เรื่องเล่าเหล่านั้นมีปรากฏการณ์จริงรองรับ ในเรื่องเล่านั้นจะพบว่า กลุ่มผู้จำใจฟังข้อค้นพบของพระพุทธเจ้าชุดแรกคือ เหล่านักบวชในศาสนาพราหมณ์ ๕ คน และคนที่ได้เป็นภิกษุรูปแรกคือ พราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะ
เมื่อมีผู้เข้าใจธรรมเป็นอย่างดีจำนวนหนึ่งแล้ว จึงมีการส่งคนเหล่านี้ไปเผยแผ่สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ข้อความที่มักถูกอ้างคือ (ขออนุญาตถอดความ/ผู้ต้องการภาษาแบบตรงขอให้ค้นได้จากคัมภีร์หลักทางศาสนา) “…ผู้เห็นความน่าหวาดหวั่นในการเกิดตายทุกท่าน ท่านทั้งหลายจงเดินทางไปสู่ที่ที่ควรไป เพื่อการเอื้อเฟื้อและความสุขของผู้คน เพื่อคอยดูแลสังคม เพื่อประโยชน์ การช่วยเหลือ และความสุขแก่เหล่าเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เดินทางไปคนเดียวนะ อย่าเดินทางไปสองคน จงแสดงความรู้ ที่งามตั้งแต่อารัมภบท ส่วนเนื้อหา และสรุปจบ ประกอบด้วยเนื้อหาและวิธีการ/คำ/ข้อความที่มีความเหมาะเจาะลงตัวที่สุด จงบอกกล่าว สิ่งที่ดีงามที่สุด มีสิ่งมีชีวิตที่พร้อมจะเข้าถึงองค์ความรู้นี้อยู่ หากไม่ได้เรียนรู้เขาอาจหมดโอกาสที่จะเข้าถึงองค์ความรู้นี้ได้ แม้ฉันเองก็จะเดินทางไปตำบลอุรุเวลาเพื่อแสดงองค์ความรู้นี้เหมือนกัน” (สํ.สคาถวคฺโค ๒๕/๔๒๘)
*ดูอนุกรมศัพท์ท้ายข้อเขียน/อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ตรวจสอบแล้วด้วยตนเอง
ถ้าถอดภาพพระภิกษุแบบง่ายจากชุดข้อความนี้ พระภิกษุจะเป็นเพียงเครื่องมือเชื่อมโยงระหว่างผู้เรียนกับองค์ความรู้ และองค์ความรู้ที่กล่าวนี้ พระภิกษุเข้าถึงแล้ว/เข้าใจแล้ว และถ้า “การแสดงความรู้” ในข้อความ “จงแสดงความรู้ที่งาม…” เป็นตัวบังคับ “การเอื้อเฟื้อ ความสุข ประโยชน์ การช่วยเหลือ” นั่นแสดงว่า พระภิกษุคือผู้มีหน้าที่สื่อสาร และการสื่อสารนั้นมีข้อเสนอว่า ควรมีพร้อมทั้งสาระและข้อความที่มีที่ไปที่มาที่ส่งเสริมกันและกัน ส่งผลให้เกิดความงามตั้งแต่เริ่มต้น ระหว่างทาง และตอนท้าย (ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ / หัวปลา ตัวปลา และหางปลา) คำถามที่ตามมาคือ “สาระและข้อความแบบใด” ชุดของคำที่มักอ้างถึงคือ “ ตถาคตรู้ว่า ถ้อยคำใดจริง แน่นอน มีประโยชน์ คนชอบใจ ปลื้มใจ ตถาคตรู้ช่วงเวลาที่จะการพูดและทำเนื้อหาให้ชัดเจน” (ม.ม. ๑๓/๙๔) แต่นี่คือตถาคต/พระพุทธเจ้า ผู้สมบูรณ์พร้อมด้วยสติและความรู้สึกตัว (สัมปชัญญะ) เหล่าพระภิกษุจึงพยายามเลียนแบบพระพุทธเจ้าคือ ข้อความบ่งชี้ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นต้น มีความแน่นอน แต่เลือกมาเฉพาะจำนวนหนึ่งของใบไม้ในกำมือที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ คนฟังโอเค พอใจ และต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะเจาะด้วย ในการนำเสนอต้องหาคำ ภาษา ข้อความที่สื่อสารกันรู้เรื่องกับกลุ่มเป้าหมาย
หากพิจารณาผ่านเนื้อหาชุดนี้ ดูเหมือน พระไม่ได้มีไว้เพื่อนั่งให้ใครกราบไหว้แน่ๆ ผมไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการกราบไหว้ เพราะหากพิจารณาผ่านมงคลชีวิต ๓๘ ข้อ จะคือ การบูชาคนที่ควรแก่การบูชา ใน ๒ แบบๆ ใดแบบหนึ่งคือ มอบสิ่งของตอบแทนให้ และ ปฏิบัติตาม และพระไม่ได้มีไว้ประกอบพิธีกรรม เช่น ถ้าทำความดีต้องมีพระมาให้พร ถ้าแต่งงานต้องมีพระมาเจริญพุทธมนต์ ถ้าจะเผาศพต้องมีพระมาสวด ฯลฯ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ กรณีที่ใจของคนๆนั้นเวิ้งว้าง ต้องการที่เกาะเกี่ยวหัวใจ พระจะคือหลักในการเกาะเกี่ยวหัวใจที่เวิ้งว้างของบางคน ไม่แตกต่างจากการหาสิ่งเกาะเกี่ยวใจแบบอื่น แต่หากพิจารณาผ่านข้อความ “ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย" ล่ะ ดูเหมือน “พระภิกษุจะไม่ใช่ที่เกาะเกี่ยวหัวใจที่เวิ้งว้าง”
เท่าที่ใคร่ครวญธรรมมานี้ ได้ข้อสรุปว่า ผมเพี้ยน
*อนุกรมศัพท์
คำแปลถอดความ | ศัพท์ | คำแปลตามคัมภีร์ |
ผู้เห็นความน่าหวาดหวั่นในการเกิดตายทุกท่าน | ภิกษุ | ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏ/ผู้ขอ |
ที่ที่ควรไป | จาริกํ | จาริก |
เพื่อการเอื้อเฟื้อและความสุขของผู้ชน | พหุชนหิตาย..สุขาย | เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุข |
เพื่อคอยดูแลสังคม | โลกานุกมฺปาย | เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก |
เพื่อประโยชน์ | อตฺถาย | เพื่อประโยชน์ |
การช่วยเหลือ | หิตาย | เพื่อเกื้อกูล |
เดินทางไปคนเดียว | เอเกน | ผู้เดียว |
องค์ความรู้ | ธมฺมํ | ธรรม |
งามตั้งแต่อารัมภบท | อาทิกลฺยาณํ | งามในเบื้องต้น |
(งามใน) ส่วนเนื้อหา | มชฺเฌกลฺยาณํ | งามในท่ามกลาง |
สรุปจบ | ปริโยสานกลฺยาณํ | งามในที่สุด |
ประกอบด้วยเนื้อหา | สาตฺถํ (ส+อตฺถ) | ประกอบด้วยอรรถ |
ข้อความ/วิธีการ/คำ/อักษรศาสตร์ | สพยญฺชนํ | พร้อมด้วยพยัญชนะ |
ที่มีความเหมาะจงลงตัวที่สุด | เกวลปริปุณฺณํ | บริบูรณ์สิ้นเชิง |
จงบอกกล่าว | ปกาเสถ | ประกาศ |
สิ่งที่ดีงาม | พฺรหฺมจริยํ | พรหมจรรย์/การประพฤติที่ประเสริฐ |
ที่สุด | ปริสุทฺธํ | บริสุทธิ์ |
จริง | ภูตํ | จริง |
แน่นอน | ตจฺฉํ | แท้จริง |
มีประโยชน์ | อตฺถสญฺหิตํ | ประกอบพร้อมด้วยประโยชน์ |
พอใจ | ปิยา | เป็นที่รัก |
ปลื้มใจ | มนาปา | ชอบใจ |
รู้ช่วงเวลา | กาลญฺญู (กาล+ญู) | รู้กาล |
ทำเนื้อหาให้ชัดเจน | พฺยากรณาย (วิ+กรณ) | พยากรณ์ (พิเศษ+ทำ) |
หมายเหตุ ข้อเขียนนี้เป็นการเขียนสด ยังไม่มีการตรวจรายละเอียด โปรดใช้วิจารณญาณ
ไม่มีความเห็น