พรบ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาประกาศใช้ในปี ๒๕๖๒ (๑) ผมได้รับแต่งตั้งเข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ ติดตามและประเมินผล ที่มี ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เป็นประธาน มีการประชุมครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ และครั้งต่อมาในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔ หลังจากนั้นมีการประชุมแทบทุกเดือน เพราะถึงเวลาต้องมีการประเมินตามที่กำหนดไว้ใน พรบ.
สำหรับผม การทำงานคือการเรียนรู้ ข้อเรียนรู้สำคัญสำหรับผมคือ mindset ที่ครอบคลุมวงการศึกษาไทยในขณะนี้มีลักษณะเป็น simplicity mindset เป็นการลดทอนสภาพที่ซับซ้อน (complexity) ให้เป็นสภาพที่ชัดเจนมองเห็นง่าย ควบคุมง่าย การจัดการศึกษาของเราจึงอยู่ใต้กระบวนการลดทอนความซับซ้อน (reductionism) ซึ่งก็เป็นลักษณะร่วมของระบบราชการทั่วๆ ไป แต่ราชการไทยยุคนี้เข้มข้นมากขึ้น
ผมตีความว่า คุณค่าของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาไม่ได้อยู่แค่ปฏิรูปการศึกษาในจังหวัดเท่านั้น ต้องหวังผลให้ก่อผลกระทบไปทั่วทั้งประเทศ หรือก่อผลกระทบต่อระบบการศึกษาทั้งระบบ เวลาไปเป็นอนุกรรมการ ผมจึงมีหน้าที่คอยกระตุกและกระตุ้นแนวคิดนี้อยู่เสมอ
การศึกษามีเป้าหมายสูงส่งอยู่ที่การส่งเสริมให้คนได้พัฒนาตัวเองเป็นคนเต็มคน ได้ค้นพบตัวเอง มีความมั่นใจตัวเองพร้อมๆ กับเคารพคนอื่น และกติกาสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เป็นเสรีชนที่มุ่งทำประโยชน์ให้แก่คนอื่นและแก่ส่วนรวม และยังมีเป้าหมายย่อยๆ อีกหลายด้าน ทั้งด้านการทำมาหาเลี้ยงชีพ สร้างฐานะ การมีแวดวงสังคมที่ดี และการได้เรียนรู้เปลี่ยนแปลงตนเองอย่างต่อเนื่องในสังคมยุค VUCA
กล่าวสั้นที่สุด การศึกษามีเป้าหมายส่งเสริมคน ให้เป็นคนดี มีความสามารถ เมื่อกล่าวสั้นๆ เช่นนี้แล้ว ก็ต้องขยายความอีกมากมาย ส่วนหนึ่งอยู่ในย่อหน้าบน และที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่งคือ เป็นคนที่บังคับตัวเองได้ (self-regulation) ซึ่งนำไปสู่เรื่อง executive functions (EF) ของสมอง
การศึกษาจึงเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนและปรับตัวสูงยิ่ง แต่ระบบการศึกษาไทยถูกออกแบบให้เป็นระบบที่มีการควบคุมเข้มข้นจากส่วนกลาง ความซับซ้อน ณ จุดปฏิบัติงาน คือห้องเรียนและโรงเรียนจึงถูกลดทอนด้วยรายละอียดในหลักสูตร และด้วยมาตรการประเมินผลงาน ผมตีความว่าพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาคือพื้นที่ทดลองเปิดอิสระให้แก่โรงเรียนและครู ให้สามารถทำงานอยู่ในความเป็นจริงที่ซับซ้อนตามบริบทของตนได้ ไม่ต้องทำตามกติกาเหมือนๆ กันหมดตามที่กำหนดโดยส่วนกลางระดับประเทศ
แต่เอาเข้าจริง กลไกดูแลพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาก็ถูกกำกับอยู่ภายใต้วิธีคิดแบบ reductionist ความสนุกของผมในการเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการ จึงเป็นการเสนอให้มีการจัดการความขัดแย้งเชิงกระบวนทัศน์ระหว่าง complexity กับ reductionism - simplicity คือให้ไม่สยบยอมดำเนินการตามแนว reductionism เสียทั้งหมด หาทางเปิดช่องให้พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาได้ทำงานตามสภาพจริงของ complexity
ระบบการศึกษาไทย เป็นระบบที่ฝืนธรรมชาติ โดยที่ธรรมชาติของการศึกษาคือความซับซ้อน แต่ระบบการศึกษาทำให้ลดทอนลงเหลือเพียงบางส่วนที่จับต้องได้ เพื่อให้ควบคุมได้ มีผลทำให้เป็นการศึกษาไทยคุณภาพต่ำ ผมมีความเห็นว่า หากไม่คืนธรรมชาติความซับซ้อนให้แก่การจัดการการศึกษา คุณภาพการศึกษาไทยก็จะด้อยคุณภาพเช่นนี้ต่อไป
ตัวอย่างของประเทศที่จัดการศึกษาอย่างกลมกลืนกับความซับซ้อน คือฟินแลนด์ โดยต้องให้ความไว้วางใจแก่ครู ว่าสามารถเอื้อการศึกษาคุณภาพสูงแก่ศิษย์ได้ และมีระบบหนุนครู ให้สามารถทำงานตามความคาดหวังได้ ย้ำว่า ระบบการศึกษาต้องมุ่งหนุนครู ไม่ใช่ควบคุมครู วิธีหนุนครู ใช้วิธีการสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนร่วมวิชาชีพให้ร่วมมือช่วยเหลือกัน ซึ่งจะมีการควบคุมกันไปในตัว วิธีหนุนครูเริ่มจากการศึกษาของครู หรืการผลิตครู ที่ต้องผลิตครูที่เป็นคนไว้วางใจได้ และเป็นคนที่มีฉันทะและทักษะของการเรียนรู้ สำหรับออกไปทำงานเป็นครูที่เรียนรู้จากการทำงานอยู่ตลอดเวลา
พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คือพื้นที่ทดลองใช้กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา กระบวนทัศน์ให้อิสระแก่ครู
หากถือตามความคิดในย่อหน้าบน เวลานี้ประเทศไทยเป็น “เขตนวัตกรรมการศึกษา” ทั้งประเทศ เพราะโควิด ๑๙ มาช่วยเอื้อโอกาส หากกระทรวงศึกษาธิการ หรือ สพฐ. มุ่งพัฒนาการศึกษา ก็สามารถทำงานแบบเสาะหาการริเริ่มสร้างสรรค์ดีๆ ที่ครูร่วมกัน และร่วมกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เอามาส่งเสริมการขยายผล ก็จะเท่ากับกลไกการบริหารภาพใหญ่ของระบบการศึกษาได้เรียนรู้วิธีทำงานภายใต้ความเป็นจริงของ complexity
วิจารณ์ พานิช
๘ ก.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น