โรงงานอุตสาหกรรมและกระบวนการผลิตสินค้า ทำให้โลกสมัยใหม่เต็มไปด้วยความเจริญทันสมัย แต่ต้องแลกมาด้วยการสันดาปเชื้อเพลิงธรรมชาติ ทั้งถ่านหิน ต้นไม้ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ปลดปล่อยสารปนเปื้อนสู่ชั้นบรรยากาศ ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไฮโดรเจนคลอไรด์ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ สารประกอบอินทรีย์ละเหยง่าย (Volatile Organic Compounds, VOCs) สารออกไซด์ของไนโตรเจน น้ำมันหอมระเหย ไดออกซิน ฟูรัน (furans) คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ และโลหะหนักต่าง ๆ เช่น ปรอท (Hg) โครเมียม (Cr) ตะกั่ว (Pb) ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดเป็นมลภาวะทางอากาศในปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกำจัดหรือป้องกันไม่ให้ส่งผลถึงสุขภาพของมนุษย์
ปัจจุบันมีหลายวิธีในจัดการกับมลพิษทางอากาศ เช่น การดักจับด้วยไฟฟ้าสถิย์ กรองอากาศด้วยใส้กรองที่ทำจากถ่านกัมมันต์ ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถกำจัดโลหะพิษอย่างปรอทได้แล้ว ยังมีราคาแพง จึงเป็นที่มาของการนำเอาถ่านชีวภาพ (ถ่านไบโอชาร์) มาใช้ประกอบดักจับโลหะพิษ
ที่ผ่านมาถ่านชีวภาพจะนำไปใช้ประยชน์ในการปรับปรุงดิน ใช้ตรึงสารปนเปื้อนในดิน ใช้ดูดซับสารปนเปื้อนในน้ำ และใช้ในการลดก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปลอดปล่อยสู่บรรยายกาศ แต่ในปัจจุบัน มีการนำเอาถ่านชีวภาพมาใช้กำจัดสารปนเปื้อนในโรงงานอุตสาหกรรม มีการศึกษาวิจัยยืนยันว่า ถ่านชีวภาพสามารถกำจัดก๊าซพิษหลากหลายชนิดได้ ได้แก่
โดยไบโอชาร์ที่ผลิตจากชีวมวล (Biomass) ชนิดต่าง ๆ จะมีคุณสมบัติและความสามารถในการดูดซับแตกต่างกัน ซึ่งงานวิจัยที่ผ่านมา ชีวมวลหลากหลาย ถูกนำมาทดสอบ ตั้งแต่ ตะกอนจากสิ่งปฏิกูล มูลสัตว์ เช่น ขี้ไก่ จนไปถึง วัตถุดิบตั้งต้นในการเกษตร เช่น เมล็ดฝ้าย เป็นต้น ซึ่งถูกเตรียมภายใต้เงื่อนไขของกระบวนการไพโรไรซิสแตกต่างกันไป
การศึกษาที่ผ่านมาจำกัดอยู่เพียงบ้างประเด็นเท่านั้น ได้แก่ ๑) การผลิตถ่านชีวภาพจากวัตถุดิบชนิดต่าง ๆ ลักษณะหรือปริมาณถ่านชีวภาพจากกรรมวิธีการผลิต และการนำไปใช้ในระบบนิเวศ ๒) การนำถ่านชีวภาพไปใช้ด้านเกษตรกรรม ๓) การใช้ถ่านชีวภาพในการกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากน้ำ ส่วนการศึกษาเกี่ยวกับการนำนำมาใช้ในการกำจัดก๊าซจากบรรยากาศ จะมีบ้างก็เพียงการกำจัด CO2 และ H2S เท่านั้น
การผลิตถ่านชีวภาพ
ถ่านไบโอโชาร์ หรือ เรียกว่า ถ่านชีวภาพ คือ ถ่านที่ได้จากการนำเอาชีวมวลชนิดต่าง ๆ เช่น ไม้ เศษไม้ มูลสัตว์ อาหารสัตว์ หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ฯลฯ นำมาผ่านกระบวนการทางความร้อนด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ เช่น
องค์ความรู้ที่ตกผลึกจากผลงานวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการผลิตถ่านชีวภาพ ที่สำคัญ ได้แก่
การศึกษาคุณสมบัติของถ่านชีวภาพ
เมื่อได้ถ่านชีวภาพ ขั้นตอนมารตฐานของการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับถ่าน คือ การศึกษาคุณสมบัติเบื้องต้น เช่น พื้นที่ผิวสัมผัส ประจุไฟฟ้าที่ผิว ความเป็นรูพรุน ความเป็นกรด-ด่าง องค์ประกอบของธาตุอาหารพืช และหมู่ฟังก์ชันซึ่งกำหนดคุณสมบัติทางเคมี โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการดักจับ ดูดซับ หรือกำจัด สิ่งปนเปื้อนในอากาศ ได้แก่ด ความมีขั่ว (polarity) ความเป็นสารอะโรมาติก (สารไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างเป็นวงแหวน) ปริมาณขี้เถ้า ชนิดและปริมาณของธาตุ ความจุไฟฟ้า ประจุไฟฟ้าที่ผิว และลักษณะของพื้นผิวถ่าน
คุณสมบัติการมีขั่วไฟฟ้าและการเป็นสารอะโรมาติก
สารอินทรีย์ที่มีลักษณะ ๔ ประการ คือ มีโครงสร้างโมเลกุลเป็นวงแหวน และอะตอมคาร์บอนอยู่ในระนาบเดียวกัน คาร์บอนแต่ละอะตอมมีอิเล็กตรอนในชั้น p-orbital มีการซ้อนทับกันของการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนแบบต่อเนื่อง วิิ่งไปทั่วทุกอะตอมคาร์บอน และ มีจำนวน pi-electron เท่ากับ 4n+2 สารที่ไม่ได้มีลักษณะ ๔ ข้อนี้เรียกว่า ไม่ใช่สารอะโรมาติก (non-aromatic) แช่ สารอะลิฟาทิก ไฮโดรคาร์บอน (aliphatic hydrocarbon) ที่มีโมเลกุลยาวเป็นลูกโซ่แต่เป็นปลายเปิด ไม่ปิดเป็นวงแหวน
วิธีการพิจารณาว่าคุณสมบัติด้านนี้มักดูจากอัตราส่วนไฮโดรเจต่อคาร์บอน (H/C) และ ออกซิเจนต่อคาร์บอน (O/C) จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ถ่านชีวภาพจะมีค่า H/C อยู่ในช่วง 1.4-1.8 มีค่า O/C อยู่ในช่วง 0.55-0.75 แสดงว่า มีความเป็นออะลิฟาทิกสูง อะโรมาติกต่ำ งานวิจัยชีว่า ความเป็นอะโรมาติกจะสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิในการเผาสูงขึ้น
ขอจบตอนที่ ๑ ไว้เท่านี้นะครับ .... ค่อยตามต่อสำหรับผู้สนใจครับ
ไม่มีความเห็น