หนังสือ Building a Better Teacher : How Teaching Works (and How to Teach It to Everyone) (2014) เขียนโดย Elizabeth Green เป็นหนังสือดีระดับ New York Times Bestseller บอกว่า ครูดีต้องสร้าง และสร้างได้จากห้องเรียน จากปฏิสัมพันธ์กับศิษย์ กับเพื่อนครู และกับพี่เลี้ยง (mentor) ครูต้องรู้จักใช้ปฏิสัมพันธ์เหล่านั้นเพื่อการเรียนรู้ และยกระดับความเป็นครูของตนเอง
เขาเล่าสภาพอาชีพครูในสหรัฐอเมริกา ว่าครูใหม่ร้อยละ ๔๐ - ๕๐ ละจากอาชีพครูในเวลา ๕ ปี เป็นสภาพที่ต่างจากครูไทยโดยสิ้นเชิง และยังเล่าปัญหาเรื่องคุณภาพครูอีกมากมาย ที่เรื่องหนึ่งคือ ระบบผลิตครูของประเทศเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณภาพครูตกต่ำ คือมีคณะศึกษาศาสตร์ประมาณ ๑,๔๐๐ แห่งทั่วประเทศ ผลิตครูออกมา ๒ เท่าของที่ประเทศต้องการ ประเทศไทยก็ผลิตครูเกินต้องการหลายเท่าเหมือนกัน และหนังสือ การศึกษาคุณภาพสูงระดับโลกบอกว่า ประเทศที่ครูคุณภาพสูงจะผลิตครูตามจำนวนที่ต้องการเท่านั้น และคัดเลือกคนอย่างพิถีพิถัน (๑)(หน้า ๑๒๙)
หนังสือบอกว่า การเป็นครูดีไม่ใช่เรื่องยาก ทำได้โดยเรียนรู้จากการปฏิบัติโดยมีโค้ชที่ดี มีการใคร่ครวญกับตนเองอย่างจริงจัง และมีการร่วมมือกันในกลุ่มครูและผู้บริหาร
ผมตีความว่า การพัฒนาครูดี ไม่ใช่เรื่องของปัจเจกเท่านั้น ต้องเป็นเรื่องของ “สังฆะ” หรือหมู่คณะของครู ด้วย และครูที่เพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาดๆ ยังอยู่ในช่วงเป็น “ครูมือใหม่” (novice teacher) ที่ยังจะต้องฝึกฝนเคี่ยวกรำเรียนรู้จากการปฏิบัติงานไปอีกหลายปี จึงจะเข้าสู่สภาพ “ครูดี” ได้ โดยผมคิดว่าอาจจะไม่ทุกคน เพราะบางคนอาจไม่ดำเนินตามปฏิปทานี้ คือไม่ยอมรับสภาพการเป็น “ครูฝึกหัด” ในช่วงสามสี่ปีแรกของอาชีพครู
ครูที่ดี ต้องการ transformative learning ที่จะต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติ ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิด โดยใฝ่หาวิธีการและหลักการดีๆ มาทดลองใช้
ญี่ปุ่นใช้หลักการ “ครูเรียนรู้ตลอดชีวิตการเป็นครู” โดยใช้เครื่องมือ Lesson Study และ Open Approach เพื่อสร้าง “ชุมชนเรียนรู้ของครู” (Professional Learning Community – PLC)
วิชาชีพครู เป็นวิชาชีพที่ต้องทำงานเต็มเวลา ครูดีไม่มีทางเอาเวลาว่างไปทำงานพิเศษหาลำไพ่ (เช่น ขายแอมเวย์ หรือรับจ้างติว) เพราะจะต้องใช้เวลาเพื่อการเรียนรู้ และเพื่อเตรียมออกแบบบทเรียนให้แก่ศิษย์ รวมทั้งทบทวนว่าศิษย์ได้เรียนรู้ตามแผนที่กำหนดไว้ทุกคนหรือไม่ มีใครที่ควรได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษบ้าง และแต่ละคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ควรได้รับการช่วยเหลือแบบไหน
นั่นหมายความว่า ระบบการศึกษาต้องแยกแยะครูดี ออกจากครูธรรมดาๆ ให้ได้ และปูนบำเหน็จครูดีให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างสมควรแก่ฐานะ ไม่ใช่ปูนบำเหน็จแบบไม่แยกแยะ ที่สำคัญคือต้องปูนบำเหน็จตามเกณฑ์ครูเพื่อศิษย์ ไม่ใช่ตามเกณฑ์ “ผลงานวิชาการ” ที่ไม่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของศิษย์ อย่างที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
งานสอนเป็นงานที่ยาก แต่เมื่อใช้ความพยายาม และมีระบบสนับสนุนที่ดี ผลที่ออกมาจะให้ความชื่นใจ
ผมเขียนบันทึกนี้แบบ เขียนเป็นข้อสะท้อนคิดของผมเอง จากการอ่านบทความรีวิวหนังสือเล่มนี้ที่ (๒) ไม่ได้อ่านหนังสือทั้งเล่ม โดยตีความสู่บริบทไทย ไม่รับรองว่าผมตีความถูกต้องทั้งหมด
หนังสือเล่มนี้แปลเป็นภาคไทยแล้ว ในชื่อ ครูคุณภาพสร้างได้ (๒๕๖๐) อ่านแล้วจะได้ทั้งสาระและแรงบันดาลใจ (๓)
วิจารณ์ พานิช
๕ ก.พ. ๖๔
ไม่มีความเห็น