[review] รีวิว+สปอยล์ การหายตัวไปในโรงแรมเซซิล Crime Scene: The Vanishing At The Cecil Hotel (2021-Netflix)


[review] รีวิว+สปอยล์ Crime Scene: The Vanishing At The Cecil Hotel (2021-Netflix) นี่คือหนึ่งในภาพยนตร์สารคดีที่มีลีลาการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ นำเสนอ เรื่องราวของโรงแรมเซซิล (Cecil Hotel) เป็นหนึ่งในโรงแรมที่เก่าแก่ของเมืองลอสแอนเจลิส ขึ้นชื่อว่าเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมการฆ่าตัวตายและเกี่ยวข้องกับอาชญากร หลายต่อหลายคดี แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดและเป็นคดีที่โด่งดังที่สุดที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมนี้ก็คือ คดีการหายตัวไปของ เอลิซา แลม (Elisa Lam) นับเป็นคดีที่มีความโด่งดังมากในโลกออนไลน์ตั้งแต่ปี 2013 เพราะรายละเอียด เต็มไปด้วยปริศนาที่ไม่อาจสามารถไขได้อย่างชัดเจน แล้วเชื่อมโยงกับทฤษฎีสมคบคิดมากมาย แต่ความน่าสนใจก็คือ Netflix เขาสามารถสร้างสรรค์ภาพยนตร์สารคดีชุด Crime Scene เรื่องนี้ออกมาได้อย่างน่าสนใจมาก เก็บรายละเอียดอย่างครบครัน มีวิธีการเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม เผยไปทีละนิด จนทำให้ทั้ง 4 ตอนนั้น เราต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบรวดเดียว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น วันนี้ทางช่อง Super Review Channel จะขอรีวิวและเปิดเผยเนื้อหาเรื่องราวของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ครับ ส่วนใครที่ไม่ชอบการสปอยขอแนะนำให้ไปชมซีรีส์เรื่องนี้ก่อนค่อยมาอ่านหรือมาดูรีวิวนี้ก็ได้ครับ

#Spoiler

#คำเตือนรีวิวนี้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดของซีรี่ส์

ดูคลิปได้ที่นี่

ตอนแรกของซีรีส์ เขาได้เปิดตัว Cecil Hotel ว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมของลอสแอนเจลิสที่มีประวัติน่าสนใจ เป็นโรงแรมที่มีการเกิดอาชญากรรม การฆ่าตัวตาย และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ ฆาตกรจำนวนมาก จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวของ เอลิซา แลม หญิงสาวสัญชาติจีนที่อาศัยอยู่ในแคนาดา ที่มีความหลงใหลในด้านการเล่นโซเชียลมีเดีย แล้วมันจะโพสต์เรื่องราวชีวิตความคิดทัศนคติหรือการระบายอะไรต่าง ๆ ลงในสื่อโซเชียลของเธอเสมอ แม้เธอจะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว แต่เธอก็มีความใฝ่ฝันว่าอยากเดินทางท่องเที่ยวในดินแดนทางใต้ เธอจึงเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวที่ Los Angeles ด้วยคัวคนเดียวและเลือกพักในโรงแรมราคาถูกที่ Cecil Hotel

แล้วหลังจากที่เธอมาพักแล้วไม่นานเธอก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวของเธอ จากนั้นนักสืบและตำรวจจำนวนมาก ได้เข้ามาสอบสวน ค้นหาหลักฐานให้โรงแรมแห่งนี้นับร้อยนาย พร้อมกับนำสุนัขตำรวจเพื่อดมกลิ่นหาหลักฐาน ทางนักสืบและตำรวจมีการขอให้ทางโรงแรมเปิดประตูห้องทุกห้องแล้วค้นหาแบบปูพรม แต่ก็ไม่พบร่องรอยของ เอลิซา แลม เลย เธอหายตัวไปอย่างปริศนา สิ่งของยังถูกทิ้งเอาไว้ในห้องพัก

อย่างไรก็ตามเรานักสืบก็แยกกันสืบหาหลักฐานจากทุกแหล่ง และมีนักสืบ 2 นายได้สืบจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม แล้วก็พจน์หลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่สำคัญมากก็คือ เอลิซา แลม อยู่ในลิฟท์ของโรงแรม แต่อากับกริยาของเธอนั้นช่างผิดปกติ เธอมีอาการหวาดกลัวลุกลี้ลุกลน อยู่ในลิฟท์ตัวนั้น เธอได้ยื่นหน้าออกไปมองภายนอกลิฟท์ เคลื่อนไหวไม่เป็นปกติ จังหวะหนึ่งเธอเหมือนว่าจะออกไปคุยกับใครบางคนนอกลิฟต์ ทำมือประหลาด แกว่งไปมา แล้วก็กลับเข้ามาในลิฟท์ กดลิฟท์แทบทุกชั้น แล้วเธอก็เดินออกไปทางซ้ายมือของลิฟต์อีกครั้ง แล้วเธอก็หายไปแล้วเธอก็หายไปพร้อม ๆ กับประตูลิฟท์ที่ถูกปิดลง คลิปวีดีโอมีความยาวเกือบ 4 นาที และนี่คือเบาะแสเดียวที่ทางและสืบและตำรวจมี

เมื่อทางตำรวจไม่สามารถสืบหาเบาะแสต่อไปได้จึงตัดสินใจว่า ให้เผยแพร่คลิปวีดีโอนี้ ให้กับประชาชนและสื่อมวลชน ช่วยกันหาเบาะแส วีดีโอได้ถูกเผยแพร่และมีการกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สื่อมวลชนนำเสนอข่าวนี้อย่างจริงจัง และแน่นอนว่าเราบรรดายูทูปเบอร์ admin page Facebook ก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทุกคนพยายามช่วยกันวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในลิฟท์

จากนั้นต่อมาทางสาระคดีเขาก็ได้เริ่มเล่าเรื่องราวของโรงแรม Cecil Hotel โรงแรมที่ขึ้นชื่อว่ามีประวัติที่มีความดำมืด ตลอดประวัติศาสตร์ของโรงแรม

โรงแรมเซซิลถูกสร้างใน 1924 เป็นยุคที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองลอสแอนเจลิส มีความเจริญเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก เมืองขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว โรงแรมอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ จะภาพในวีดีโอสารคดีมีลักษณะเป็นอาคารสูง 15 ชั้น และมี 3 ตึกเรียงติดกัน มีห้องพักมากถึง 700 ห้อง ถือเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ในสมัยนั้น แต่ก็ไม่ได้สร้างให้เป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวแต่อย่างใดถือว่าเป็นโรงงานระดับกลางใครก็สามารถมาอาศัยอยู่ในโรงแรมแห่งนี้ได้โรงแรมเปิดให้เช่าอยู่เป็นรายวัน อยู่เป็นรายเดือนหรืออยู่เป็นแบบประจำก็มี อัตราค่าเช่าก็ถือว่าถูกมาก แต่เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ทำให้โรงแรมนี้ต้องปรับตัว รับผู้อยู่ประจำเป็นจำนวนมาก และผู้อยู่ประจำบางคนก็มีประวัติอาชญากรรมติดตัว ไม่สามารถไปอยู่ที่ไหนได้ บางคนก็อยากจะซ่อนตัวจากโลกภายนอกก็มาอาศัยอยู่ในโรงแรมแห่งนี้ จึงไม่แปลกอะไรที่โรงแรมแห่งนี้จะมีเหตุการณ์ฆาตกรรมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือมีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ยกตัวอย่างเช่นการฆ่ากันตายภายในห้องพัก หญิงสาว ทะเลาะกับแฟนแล้วกระโดดตึกฆ่าตัวตายเป็นต้น แต่โรงแรมนี้ก็คงยืนหยัดอยู่ต่อมาได้แม้จะมีการเปลี่ยนเจ้าของหรือรีโนเวทหลายครั้งแล้วก็ตาม และองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้โรงแรมแห่งนี้มีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นก็คือ โรงแรมอยู่ใกล้กับ ถิ่นที่อยู่ของผู้คนไร้บ้านที่เรียกกันว่า “สคิด โรว์” (Skid Row) แน่นอนว่าถิ่นย่านนี้จึงไม่มีความปลอดภัย หรือไม่ได้เป็นเมืองในฝันของนักท่องเที่ยวอย่างที่ใครหลายคน

ในสารคดียังได้นำผู้คน หรือนักท่องเที่ยวที่มาอาศัยในโรงแรมแห่งนี้ในช่วงที่เกิดคดีการหายตัวไปของ เอลิซา แลม เป็นการพูดให้สัมภาษณ์ต่อสื่อหน้ากล้อง รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของผู้จัดการโรงแรมในช่วงเวลานั้น พนักงานซ่อมบำรุงของโรงแรม สายสืบและตำรวจที่ทำคดี เหล่าบรรดายูทูปเบอร์ ต่างคนก็ต่างให้ความเห็นในมุมมองและหลักฐานที่ตัวเองมี แต่ตำรวจก็ยังหาเธอไม่พบอยู่นั่นเอง จนเวลาผ่านไปหลายวันตำรวจและนักสืบก็ลดจำนวนผู้ทำคดีนี้ลงไป หรือเพียงนักสืบแค่ 4 คนเท่านั้น

แต่แล้วก็มีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นกับโรงแรมแห่งนี้ ผู้อาศัยอยู่ในโรงแรมต่างเริ่มสังเกตว่าน้ำที่ไหลออกจากก๊อกน้ำที่พวกเขาใช้แปรงฟันดื่มกินและอาบน้ำนั้นมีสีที่เปลี่ยนไปออกไปทางสีน้ำตาล กลิ่นของน้ำและรสชาติก็เปลี่ยนไป ทำให้ผู้พักอาศัยร้องเรียนกับทางโรงแรมให้มีการขึ้นไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบน้ำของโรงแรม พนักงานซ่อมบำรุงจึงทำหน้าที่ตรวจตราระบบระบายน้ำ แล้วเดินขึ้นไปที่ดาดฟ้าของโรงแรม

บนดาดฟ้าจะมีถังเก็บน้ำทรงกระบอก อยู่ 4 ถัง ช่างซ่อมบำรุงยิงปีนขึ้นไปดู เมื่อเขาเปิดฝาถังที่มีน้ำหนักราว 20 ปอนด์ขึ้นแล้วก้มหน้าลงไปดูเค้าก็ตกใจ เพราะเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาก็รู้ว่านี่คือ เอลิซา แลม หญิงสาวที่คนทั้งเมืองต่างพากันค้นหาที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ 19 วัน

สภาพศพ ที่ช่างซ่อมบำรุงเห็นก็คือเธอเปลือยกายอยู่ในถังน้ำ นอนหงาย ร่างกายเริ่มเน่าเปื่อย เสื้อผ้าของเธอนอนอยู่ภายในก้นถัง แล้วเขาก็รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาดู

เจ้าหน้าที่นับร้อยขึ้นมาบนดาดฟ้าของโรงแรม จากนั้นก็นำร่างของเธอออกมาโดยการปล่อยน้ำและเจาะช่องออกด้านข้าง แล้วนำไปตรวจสอบ ตามหลักนิติวิทยาศาสตร์

ไม่ว่าจะเป็นนักสืบตำรวจหรือผู้คนโดยทั่วไปต่างก็เริ่มสงสัยกันแล้วว่า ร่างของเอลิซา แลม ไปอยู่ในถังน้ำนั้นได้อย่างไร เธอถูกฆาตกรรมหรือไม่ หรือเธอเลือกที่จะปิดชีวิตตนเองโดยการฆ่าตัวตายในถังน้ำ จากนั้นทุกฝ่ายก็เริ่มสืบหาความจริง โดยตั้งไปที่ประเด็นการถูกฆาตกรรมก่อน

อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรงแรม Cecil Hotel จะกลายเป็นที่เกิดเหตุสยองขวัญเช่นนี้แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นการเรียกแขกให้เข้ามาพักมากยิ่งขึ้น เหล่าบรรดายูทูปเบอร์ ต่างก็เข้ามาพักและถ่ายทำวีดีโอเพื่อนำไปลงช่องของตัวเองจำนวนมาก ไปดูภายในห้องของ เอลิซา แลม เดินไปดูตามทางเดินต่าง ๆ จนเลยเถิดเดินขึ้นไปดูบนดาดฟ้าของโรงแรม ไปดูถังน้ำที่พบร่างของเธอ แล้วตั้งสันนิษฐานว่าเธอขึ้นมาบนนี้ได้อย่างไร ผนวกกับการที่ตำรวจยังไม่สามารถไขคดีได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ก็เกิดนักทฤษฎีสมคบคิด ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการตายของเธอไว้จำนวนมาก แล้วก็นำเสนอในช่อง YouTube หรือเว็บบล็อกของพวกเขา เช่น

ในช่วงเวลาที่เธอเสียชีวิตนั้นได้เกิดโรคระบาดขึ้น รัฐบาลได้ตั้งชื่อ ชุดตรวจโรคระบาดนั้นว่า Lam Elisa ซึ่งเป็นชื่อที่สลับกับชื่อของเธอแบบพอดิบพอดี บางคนตั้งข้อเสนอว่าเธออาจจะเกี่ยวข้องกับการทดลองรัฐบาล แล้วเธอรู้ความจริงมากเกินไปจึงถูกฆ่าปิดปากเป็นต้น

บางคนก็ว่าเธอน่าจะเสพยาเกินขนาด เพราะจากการดูประวัติการโพสท์อื่น ๆ ของเธอแล้ว ก็เหมือนว่าเธอนั้นมีอาการไบโพล่าอยู่แล้วด้วย แม้ว่าเธอจะไม่มีประวัติเสพยาเสพติดมาก่อนแต่เธออาจจะมาหาเสพยาเสพติดที่นี่ก็ได้ จนเป็นเหตุทำให้เธอฆ่าตัวตาย

แต่ทฤษฎีหนึ่งที่ผมฟังแล้วก็รู้สึกอึ้ง แม้จะดูว่าไม่สมเหตุสมผลแต่ความบังเอิญนั้นมันก็เหมือนว่ามันเกิดการเลียนแบบ ในสารคดีได้พูดถึงภาพยนตร์สสของขวัญเรื่องหนึ่ง คือ Dark Water เป็นภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติญี่ปุ่นที่ฉายในปี 2002 แล้วนำมาสร้างใหม่ในอเมริกาฉายในปี 2005 เล่าถึงครอบครัวที่อาศัยในอพาทเมนท์แห่งหนึ่ง พอเขาเจอเหตุการณ์ประหลาดในลิฟท์ โดยเฉพาะลูกสาวของเรื่องมีอาการกระวนกระวาย จากนั้นไม่นานลูกสาวก็หายตัวไป ผู้เป็นแม่ตามหาตัวลูกสาวจนไปพบร่างของลูกเธออยู่ในถังน้ำบนดาดฟ้า อยู่ในชุดสีแดง ซึ่งเหตุการณ์นี้มีความสอดคล้องกับคดีของ เอลิซา แลม อย่างแปลกประหลาด จนนักทฤษฎีสมคบคิดเชื่อว่าฆาตกรน่าจะเลียนแบบการฆ่าจากภาพยนตร์เรื่องนี้

แต่ในท้ายที่สุดก็มีคนกลุ่มหนึ่งได้พยายามสืบค้นเรื่องราวของเอลิซา แลม แล้วพบว่าไปเจอคลิปคลิปหนึ่งเป็นของ Mobid นักดนตรี death heavy metal เขาเป็นพวกคลั่งซาตาน เป็นพวกคลั่งฆาตกรต่อเนื่อง มิวสิควีดีโอของเขาก็แสดงถึงความรุนแรง และมีเนื้อเพลงหนึ่งที่พูดถึงเรื่องราวของหญิงสาวที่เสียชีวิตภายในน้ำ ชายคนนี้ได้มาอาศัยอยู่ในโรงแรม Cecil Hotel ซึ่งเป็นช่วงเวลาเกิดเหตุกับ เอลิซา แลม ทำให้ใครหลายคนเชื่อว่า นักดนตรี death heavy metal น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การตายของ เอลิซา แลม ผู้คนต่างเข้าไปรุมด่าเขา ยัดเยียดข้อหาฆาตกรรมให้เขา แม้ว่าเขาจะออกมาปฏิเสธแล้วก็ตาม

แต่แล้วความจริงก็มาปรากฏขึ้น หลังจากการชันสูตรศพและผลทางพิษวิทยาออกมาก็พบว่า ร่างกายของ เอลิซา แลม ไม่ได้ถูกทำร้ายหรือถูกข่มขืนใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่พบหลักฐานแวดล้อม ของการฆาตกรรม ไม่มีสารพิษที่เป็นยาเสพติดของร่างกาย แต่ทางทีมชันสูตรพบว่าเธอนั้น ไม่ได้กินยา ระงับอาการไบโพล่าหรืออาการซึมเศร้าของเธอตามกำหนด ส่วน Mobid นักดนตรี death heavy metal ก็ไม่ได้มีส่วนกับการก่อเหตุฆาตกรรมด้วยเพราะเขาพักโรงแรมนี้ก่อนน่าจะเกิดเหตุการณ์ถึง 1 ปี และช่วงที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นเขาก็อยู่ในประเทศเม็กซิโก

หนังไปเฉลยตอนที่สำคัญมาก ๆ ก็คือ ทีมสืบสวนสอบสวน ทีมชันสูตรพลิกศพ ต่างก็ได้ให้ข้อสรุปว่า แท้จริงแล้ว เอลิซา แลม เสียชีวิตจากการจมน้ำโดยอุบัติเหตุอันเป็นผลมาจากอาการทางไบโพล่าของเธอ กล่าวคือเธอมีอาการไบโพล่าอย่างรุนแรง มีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง และมีอาการจิตเภทประเภทเห็นภาพหลอน และไม่ยอมกินยาตามที่แพทย์สั่งตามระยะเวลาที่กำหนด ในช่วงวันก่อนที่เธอตายนั้นเธอได้ไปชมการบันทึกเทปรายการสด ที่สถานีโทรทัศน์รายการหนึ่งจะได้เขียนจดหมายอันยาวยืดไปให้กับทีมผู้ผลิตรายการทีมผู้ผลิตก็เลยเอาตัวออกจาก Studio ที่โรงแรมโรงแรมก็เขียนจดหมายไล่เพื่อนที่อยู่ร่วมห้องกับเธอออก ติดไว้ตามเตียง เมื่อเพื่อนร่วมห้องของเธอกลับมาที่ห้อง เธอก็ไม่เปิดประตูให้เขาเข้า เธอจึงถูกสั่งให้ย้ายออกไปอยู่ในห้องคนเดียว

วันหนึ่งเธออยู่ในโรงแรมนั้นเพียงตัวคนเดียว ผนวกกับการไม่ได้กินยาระงับประสาท เธอมีอาการประสาทหลอนอย่างรุนแรง เห็นภาพหลอนว่าน่าจะมีคนมาทำร้ายเธอ เธอหนีขึ้นลิฟท์ มีอาการตื่นตระหนกจากความกลัว คาดว่าเธอหนีขึ้นไปที่บนดาดฟ้า จากนั้นเธอก็หาที่ปลอดภัยที่สุดก็คือในแทงค์น้ำ เธอลงไปในแท้งค์น้ำนั้น เพื่อหลบคนที่เธอคิดว่ามีอยู่จริงที่กำลังจะทำร้ายเธอ เข้าใจว่าน้ำน่าจะลดลงเรื่อยๆอันเกิดจากการใช้น้ำของผู้คนในโรงแรม เธอได้แต่ว่ายน้ำพยุงตัวอยู่อย่างนั้น แล้วเมื่อเธอแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ถ้าเกิดอาการ ผิดปกติในร่างกายเธอ เธอจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าออก แล้วเมื่อตอนอยู่ในนั้นได้สักพักเธอก็เสียชีวิตจากการจมน้ำอันเป็นอุบัติเหตุนั่นเอง

หลายสิ่งหลายอย่างก็ถูกเฉลยตามมาเรื่อยๆเช่น ในช่วงแรกผู้คนต่างสงสัยว่าเวลาในคลิปวีดีโอที่เคยอยู่ในลิฟท์นั้นทำไม เหมือนกับว่ามี การทำให้ไม่สามารถเห็นเวลาได้อย่างชัดเจน ซึ่งตำรวจสืบสวนออกมาบอกว่านี่คือเทคนิคอย่างหนึ่งในการสืบสวนสอบสวน ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยเวลาจริงได้

ตอนแรกตำรวจนายหนึ่งให้การสัมภาษณ์กับโทรทัศน์ว่า ฝาถังน้ำบนดาดฟ้านั้นถูกปิด เมื่อคนไปพบศพก็เห็นว่าฝาถังนั้นถูกปิดอยู่ ผู้คนจึงสงสัยว่าเมื่อเธอลงไปในถังน้ำเองแต่ทำไมฝาถึงปิดได้ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วหลังจากคำให้การในชั้นศาล ก็พบว่าเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมเมื่อขึ้นไปตรวจถังน้ำก็พบว่าฝาถังนั้นถูกเปิดอยู่ก่อนแล้ว

ข้อผิดพลาดจากเงินที่ทางตำรวจและทีมสืบสวนการรับก็คือ ในช่วงที่ทำการค้นหาตัวเธอในโรงแรมอย่างปูพรมนั้น แม้จะมีการนำสุนัขตำรวจเข้าไปช่วยดมกลิ่นในการค้นหา แต่พวกเขากลับไม่ได้ไปตรวจในแทงค์น้ำ นั่นคือสิ่งของใจให้กับทางทีมตำรวจมาจนถึงทุกวันนี้

แล้วท้ายที่สุดทางทีมสารคดีก็ได้เปิดเผยว่า เอลิซา แลม เธอได้เขียนเรื่องราวในชีวิตของเธอลงในบล็อกส่วนตัว ได้เขียนความทุกข์ยากความทรมานที่ทนทุกข์อยู่กับโรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์อย่างหนัก แม้แต่คนในครอบครัวของเธอก็รับรู้อาการของเธอดี แล้วเป็นการสรุปว่านี่คือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเธอ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมแต่อย่างใด และไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาถรรพ์หรือเรื่องราวเหนือธรรมชาติของโรงแรมอีกด้วย เรื่องของเธอจะสามารถช่วยเหลือผู้คนที่เป็นอาการแบบเธอได้ไปอีกมาก และจะไม่มีใครลืมเรื่องของ เอลิซา แลม

เมื่อผมดูสารคดีเรื่อง Crime Scene: The Vanishing At The Cecil Hotel จบลง แม้จะเป็นการเล่าเรื่องของการหายตัวไปของเอลิซา แลม โดยการฉาบของเรื่องราวลึกลับของโรงแรม Cecil Hotel แต่แท้จริงแล้วสาส์นสำคัญที่ทางทีมผู้สร้างต้องการจะให้กับคนดูก็คือ ต้องการนำเสนอปรากฏการณ์และพฤติกรรมของผู้คนในสังคมในโลกโซเชียลมีเดีย ที่มีต่อเรื่องราวของเอลิซา แลม ไม่ว่าจะเป็นการทำตัวเป็นนักสืบพยายามสืบหาความจริงของคดี โดยใช้ข้อมูลจากโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งพวกเขาไม่ได้เห็นข้อมูลจริงแทบทั้งหมด แต่ก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาเชื่อมโยงและสร้างทฤษฎีสมคบคิดมากมาย

นำเสนอถึงผลกระทบต่อผู้คนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยทางตรงและทางอ้อม ที่น่าสนใจมากก็คือ บุคคลหนึ่งต้องสูญเสียการทำงาน ชีวิตส่วนตัวรวมถึงสภาพจิตใจ เพียงเพราะว่าผู้คนบน Social Media ตราหน้าว่าเขาคือฆาตกร ต่อให้มีการพิสูจน์ว่าคนนั้นไม่ผิดก็ตาม แต่สังคมก็ตัดสินเขาว่าเป็นคนผิดไปแล้ว

ในประเด็นนี้เหมือนจะเป็นการตบหน้าพฤติกรรมของผู้คนในสังคมในโลกSocial Media โลกออนไลน์จำนวนมาก โดยเฉพาะ เราพร้อมที่จะขุดหลุมฝังศพใครก็ได้ โดยที่เราไม่ชอบหรือเราคิดว่าเขาเป็นคนผิด ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ผิด เหตุการณ์นี้อาจจะเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ "ทัวร์ลง" ที่เกิดขึ้นใน Social Media หรือโลกออนไลน์ของประเทศไทยได้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามันก็เป็นเหมือนกันทั้งโลกนั่นแหละ

พูดถึงความพึงพอใจของผู้คนที่เสพข่าว ที่แต่ละคนนั้นก็อยากจะให้เรื่องราวไปจบลง หรือให้ไปตรงตามทฤษฎีที่พวกเขาวางเอาไว้ และเมื่อมันไม่เป็นไปตามทฤษฎีหรือความต้องการหรือจินตนาการของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับกับผลของการตัดสิน ไม่เชื่อผลของนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ข้อสรุปการสืบสวนของตำรวจ แถมยังตั้งคำถามต่อในอีกหลายประเด็น กล่นด่า ไม่พอใจ อยากจะให้จบอย่างใจคิด เพียงเพราะว่ามันดูลึกลับ หรือมันเป็นอย่างใจคิดแค่นั้น หรือเพียงเพราะว่าจะต้องการหาคนผิดให้ได้เท่านั้น

ซึ่งส่วนตัวผมแล้วรู้สึกว่า การที่ผู้กำกับต้องการนำเสนอประเด็นเหล่านี้ เป็นอะไรที่ถือว่าเป็นจังหวะพอเหมาะพอดิบพอดีกับสังคมในยุคที่อะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียนั้น จะกลายเป็นกระแสอย่างรวดเร็วและลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง ไม่มีการตรวจสอบข้อมูลหรือข้อเท็จจริง ไม่มีการแยกแยะระหว่างข่าวจริง ข่าวปลอม หลักฐานจริง หรือหลักฐานปลอม ตบหน้าบรรดาเหล่ายูทูปเบอร์ ตบหน้าบรรดาข่าวนักเขียนเว็บไซต์ที่ไม่ได้ค้นคว้าข้อมูลจริงก่อนจะนำเสนอเรื่องราว แล้วเมื่อนำเสนอไปแล้วก็เกิดผลกระทบด้านลบกับผู้คนอีกหลายคน รวมไปถึงการตบหน้าของผู้เสพข่าวที่ใช้อารมณ์ในการเสพมากกว่าเหตุผล และตัดสินผู้คนตามที่ตัวเองเชื่อมากกว่าหลักฐาน

ผมชอบวิธีการนำเสนอเรื่องราวของทีมสารคดี ซึ่งหน้าหนังนั้นทำให้เราเห็นว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมเหตุการณ์ ที่เป็นปริศนาเกี่ยวข้องกับความตายมากมายนั้นอาจจะเกิดจากเรื่องราวเหนือธรรมชาติหรืออาถรรพ์ต่าง ๆ ของโรงแรม มีการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ของโรงแรม มีการเชื่อมโยงถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมและการตายหลายคดีที่เกิดขึ้นในโรงแรม จึงหมายถึงการเชื่อมโยงการหายตัวไปของเอลิซา แลม แต่เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง เมื่อเขาเฉลย ถึงการตาย การพบศพ การรวบรวมหลักฐานสืบสวนสอบสวนทั้งหมด เขาก็พาเรามาในจุดที่สร้างความน่าสนใจยิ่งกว่า แล้วผมมองว่านี่มันคือการกระทำของคนมากกว่าเรื่องเหนือธรรมชาติซะอีก ก็คือกระแสของผู้คนที่เสพสื่อนั่นแหละ แต่จุดนี้ผมถือว่าดีมาก ๆ

ซีรีส์สารคดีเรื่องนี้ ทำออกมา 4 ตอน 2 ตอนแรกจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ การหายตัว ของหญิงสาวชาวแคนาดา และอีก 2 ตอนท้ายพูดถึงการเฉลย ถ้าใครชอบอ่านนวนิยาย หรือชมภาพยนตร์ เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ที่ชอบเสพข้อมูลแวดล้อมจำนวนมาก แล้วก็มีการหักมุมของเรื่อง ผมว่าสารคดีเรื่องนี้เข้าทางคุณเป็นอย่างมาก

แต่ถ้าใครชอบความรวดเร็วความกระชับ ผมว่าน่าจะมีบางจุดที่คุณอาจคิดว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง โดยเฉพาะในตอนที่ 1 "หลงทางในลอสแอนเจลิส" และ ตอนที่ 2 "ความลับที่ถูกซ่อนในเซซิล" สารคดีเขานำเสนอในทุกมุมจนหมดจดอย่างละเอียดยิบ เรียกได้ว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวเหตุการณ์นี้มาก่อนก็จะสามารถรับรู้เรื่องราวนี้ได้ และนำไปเล่าต่อให้กับคนอื่นอย่างครบถ้วนกระบวนความราวกับผู้เชี่ยวชาญได้เลย ส่วนในตอนที่ 3 เงื่อนงำชวนถลำลึก และ ตอนที่ 4 ความจริงที่ยากจะยอมรับ สารคดีเขาก็สามารถขมวดปมทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ได้พูดถึงประเด็นแวดล้อมอีกหลายเหตุการณ์ สรุปในหลาย ๆ มุมมอง และในที่สุดก็ย้อนกลับมาที่ตัวของเอลิซา แลมจุดเริ่มต้นของเรื่องได้ดี แต่นั้นมันใช้เวลานานมาก ถ้าหากมันก็ขมวดอยู่ใน 2 ชั่วโมง ผมก็คิดว่าน่าจะกระชับมากขึ้น เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอ่านนิยายหรือดูหนังแนวนี้มากกว่า

แต่โดยส่วนตัวของผมเองแล้ว ผมว่าระยะเวลากับทั้ง 4 ตอนนั้นมันเหมาะสมแบบพอดิบพอดี ไม่ขาดไม่เกินจนเกินไป และเราก็จะเต็มอิ่มในทุกแง่มุมกับทุกประเด็น ซึ่งเมื่อสารคดีจบแล้วก็ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกเลย แถมยังมีคำถามปลายเปิดไว้ให้เราขบคิดอีกด้วย

Crime Scene: The Vanishing At The Cecil Hotel การหายตัวไปที่โรงแรมเซซิล คือสารคดีชั้นดีที่ทาง netflix ตั้งใจนำเสนอและเป็นการส่งสาส์นให้กับผู้ชมรับรู้ถึงเรื่องราวความเป็นมาของโรงแรม แม้จะมีเรื่องราวสยองขวัญเกิดขึ้นมากมาย แต่เขาก็เหมือนเป็นการตั้งคำถามกับเราว่า มันเกิดจากอาถรรพ์หรือเกิดจากการกระทำของมนุษย์กันแน่ รวมถึงให้ผู้ชมได้รับรู้เรื่องราวการเสียชีวิตของเอลิซา แลม การไขคดีความ และปฏิกิริยารวมถึงผลกระทบต่าง ๆ ของผู้คนที่เสพสื่อเหล่านี้ แล้วทั้งหมดทั้งมวลก็ย้อนกลับมาถามคนดูว่า เราในฐานะคนเสพสื่อจะวางตัวกับข่าวทำนองนี้อย่างไร อยากให้ทาง Netflix ทำสารคดีแบบนี้ออกมามากๆ แล้วอยากให้มีพากย์ไทยแบบนี้อีกหลาย ๆ เรื่องด้วย และนี่คือสารคดีสืบสวนสอบสวนชั้นเยี่ยมที่ขอแนะนำให้ชม

9/10

@วาทิน ศานติ์ สันติ

#SuperReviewChannel #การหายตัวไปในโรงแรมเซซิล #สารคดีสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมNetflix #CrimeScene #TheVanishingAtTheCecilHotel #อาลิซาแลม

หมายเลขบันทึก: 688938เขียนเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2021 03:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2021 03:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท