จะต้องสร้างความเห็นพ้องและข้อตกลงที่ชัดเจนถึงส่วนของอุดมศึกษาที่เป็นเรื่องส่วนสาธารณะและเรื่องส่วนบุคคล เพื่อกำหนดสัดส่วนภาระความรับผิดชอบของผู้เรียนและของรัฐ
การเปลี่ยนแปลงของ มจธ. เมื่อเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล
กล่าวโดยสรุป ผมมองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดกับ มจธ. เมื่อเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยกำกับรัฐบาล คือ
- วางรากฐานและสร้างระบบการบริหารที่จะนำไปสู่การสร้างมหาวิทยาลัยที่พึงปรารถนาของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภาพของมหาวิทยาลัยที่หวังจะเห็นคือเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ของภูมิภาค ของเอเชียและของโลก เพื่อให้มหาวิทยาลัยผลิตบุคลากรขับเคลื่อนและชี้นำประเทศได้อย่างสมศักดิ์ศรี
- ข้ามพ้น psychological barrier ของข้าราชการที่มักจะยอมจำนนต่อปัญหา ไม่คิดแก้ไขอะไร รอการแก้ไขหรือสัญญาณจากภายนอกมาเป็นการกำหนดทิศทางการพัฒนาองค์กรของตนเอง
- เชื่อในศักยภาพ ความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคลในองค์กร ที่จะสร้างองค์กรให้มีคุณภาพ มีพลวัตร
- สร้างระบบธรรมาภิบาล
- บุคลากรได้แสดงศักยภาพและนวัตกรรมในการทำงานทางวิชาการ และการบริหารจัดการ ศักยภาพและนวัตกรรมนี้สะท้อนออกมาในรูปการลดค่าใช้จ่ายลงได้ในงานเดิม มีความสำนึกที่จะประหยัด ทำงานได้ผลลัพธ์ผลผลิตมากขึ้นด้วยเงินที่ไม่มากไปกว่าเดิม มีรูปแบบใหม่ในการทำงาน มีความสำนึกเรื่องคุณภาพและการใช้เงินให้คุ้มค่ามากขึ้นมีผลงานวิชาการเกิดเพิ่มขึ้นมาก องค์กรหารายได้ได้มากขึ้น ตลอดจนมีเงินสะสมเพิ่มขึ้น
- มีความมั่นใจและยอมรับระบบตรวจสอบและระบบประเมิน ทั้งระดับบุคคลและระดับองค์กร ใช้ผลการตรวจสอบและการประเมินเป็นเครื่องพัฒนา
- ระบบมีความมั่นใจที่จะเปลี่ยนความรู้ และความสามารถ ให้เป็นทุน ไม่คาดหวังที่จะรอรับความช่วยเหลือจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว
- สร้างวัฒนธรรมการทำงานกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) และผู้สนับสนุน โดยเฉพาะกับนักศึกษาเก่า ภาคธุรกิจเอกชน และภาคสังคม
- ระบบมีความเปิดมากขึ้น เปิดโอกาสชักนำบุคลากรที่มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาเป็นผู้บริหาร ตั้งแต่ระดับหัวหน้าภาควิชา คณบดี/ผู้อำนวยการ จนถึงอธิการบดี
สิ่งที่จะต้องช่วยกันคิดและพัฒนาต่อไป
มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาลจะพัฒนาต่อไปได้ ผมเห็นว่าต้องช่วยกันคิดเรื่องต่อไปนี้
1. ความสัมพันธ์กับองค์กรของรัฐ
จะต้องทบทวนความสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาลกับองค์กรของรัฐที่มีอยู่แล้วและมีส่วนสนับสนุนการดำเนินการของมหาวิทยาลัย เช่น สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
นอกจากนั้น ยังมีองค์กรที่จะเกิดใหม่ เช่น คณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ สภาการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม แต่ละฝ่ายจะต้องกำหนดบทบาทของตนให้ชัดเจนขึ้น
2. งบประมาณและการระดมทรัพยากรเพื่ออุดมศึกษา
จะต้องสร้างความเห็นพ้องและข้อตกลงที่ชัดเจนถึงส่วนของอุดมศึกษาที่เป็นเรื่องส่วนสาธารณะและเรื่องส่วนบุคคล เพื่อกำหนดสัดส่วนภาระความรับผิดชอบของผู้เรียนและของรัฐ
นอกจากนั้น จะต้องสร้างความชัดเจนเรื่องทรัพยากรเพื่ออุดมศึกษาระยะยาว ทั้งจากงบประมาณของรัฐ กองทุนกู้ยืม กองทุนเพื่อการพัฒนา กองทุนเพื่อกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ตลอดจนกลไกและ incentive ในการระดมทุนจากภาคเอกชน
3. การพัฒนาคุณภาพ
จะต้องมีระบบในระดับประเทศที่จะชักนำ สร้าง incentive และจัดสรรทรัพยากรให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของบุคลากรในมหาวิทยาลัยทั้งสายวิชาการ สายปฏิบัติและสายบริหาร และพัฒนาคุณภาพของระบบ
ติดตาม บทส่งท้าย ตอนต่อไป....