บันทึกชุด ความฉลาดรวมหมู่ตีความจากหนังสือ Big Mind : How Collective Intelligence Can Change Our World (2018) เขียนโดย Geoff Mulgan ศาสตราจารย์ด้าน collective intelligence, public policy & social innovation แห่ง UCL และเป็น CEO ของ NESTA โดยในตอนที่ ๔ นี้ ตีความจากบทที่ 6 Learning Loops
สาระสำคัญคือ ความฉลาดรวมหมู่อยู่ในสถานการณ์หรือบริบทที่มีความไม่แน่นอนและมีโอกาสใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา บุคคล องค์กร และสังคม จึงต้องมีความสามารถเรียนรู้เพื่อปรับตัวอยู่ตลอดเวลา โดยการเรียนรู้นี้มี ๓ มิติที่เชื่อมโยงกัน
ผู้เขียนหนังสือ คือ ศ. เจฟฟ์ มัลแกน มองวงจรเรียนรู้อย่างฉลาด (intelligent learning) เป็น ๓ ระดับ คือระดับเปลี่ยนความคิดในกรอบเดิม ระดับเปลี่ยนกรอบความคิด และระดับเปลี่ยนวิธีคิด โดยมีสาระของหนังสือบทนี้อยู่ในพื้นที่ไซเบอร์ที่ (๑) และมีรูปแสดงวงจรเรียนรู้อยู่ที่ Figure 4 (โปรดดูรูปในลิ้งค์ที่ให้ไว้) ซึ่งผมเห็นด้วยเพียงบางส่วน ผมคิดว่ามองวงจรเรียนรู้ ๓ แบบว่าเป็น ๓ ระดับ ก็ได้ เพราะมันทวีความยากขึ้นไป มุมมองแบบนี้เป็นมุมมองเชิงทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติต้องมองว่า วงจรเรียนรู้ ๓ แบบนี้มันเสมือนมีชีวิต และสื่อสารแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา เป็นวงจร ๓ องค์ประกอบที่ยกระดับกันขึ้นไป ในทางปฏิบัติวงจรเรียนรู้จึงซับซ้อนกว่าใน Figure 4 มาก เป็นวงจรที่ทั้งวนกลับที่เดิม และวนยกระดับขึ้นไป โดยต้องตระหนักว่ายังมีพลังต้านที่ดึงให้วงจรหมุนลดระดับลงด้วย
ยิ่งท้าทายยิ่งขึ้น เมื่อวงจรเรียนรู้นี้เป็นของกลุ่มที่มารวมตัวกัน หากสมาชิกไม่มีทักษะเรียนรู้ร่วมกัน โดยเฉพาะการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิด วงจรเรียนรู้อาจกลายเป็นวงจรก่อความแตกสามัคคี ความฉลาดรวมหมู่จะเกิดขึ้นได้ สมาชิกกลุ่มและพฤติกรรมกลุ่มต้องมีทักษะเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิดร่วมกัน มีพื้นที่และเวลาเพื่อการเรียนรู้ดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ และมีผู้อำนวยกระบวนการดังกล่าวที่เรียกว่า learning facilitator กระบวนการนี้ที่จริงก็คือ กระบวนการจัดการความรู้ (knowledge management – KM) นั่นเอง
เมื่อพูดเรื่อง “การเรียนรู้” เราก็หลงพูดกันตามแนวทางเรียนรู้ที่ผิดได้ง่าย เพราะเรามักเน้นเรียนจากทฤษฎีที่มีคนเสนอไว้แล้ว เน้นทำความเข้าใจและเชื่อทฤษฎี นี่คือ “การเรียนรู้” ที่ผิด
“การเรียนรู้” ที่ถูกต้องตามในบันทึกชุดนี้ คือการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิด และการเรียนรู้ในระดับสูงสุดที่หนังสือเล่มนี้เรียกว่า third-loop learning นั้นก็คือการเรียนรู้และพัฒนาวิธีคิดของตน และของกลุ่ม ที่ภาษาวิชาการเรียกว่า meta-cognition นั่นเอง
สรุปได้ว่า ความฉลาดรวมหมู่จะเกิดขึ้น พัฒนาต่อเนื่อง และยั่งยืน ได้ กลุ่มคนที่มารวมตัวกันต้องมีวงจรเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิด ที่เป็นทั้งเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนความคิดหรือวิธีการในกรอบเดิม (first-loop learning), เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนกรอบความคิด (second-loop learning), และเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนวิธีคิด (third-loop learning)
วิจารณ์ พานิช
๙ เม.ย. ๖๓ ปรับปรุง ๒ พ.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น