คณะสงฆ์ในศาสนาพุทธ 4
เขียนโดย... Christmas Humphreys
แปลโดย...อุทัย เอกสะพัง
ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับ การกลับไปที่วังเดิม (The Return to the Palace )
ถึงตอนนี้ราชาสุทโธทนะ( Suddhodana) ยังปรารถนาที่จะเห็นลูกชายของเขาอีกครั้งและพยายามส่งข้อความซ้ำ ๆออกไปเพื่อตามหา ต่อมาได้ทราบว่าลูกชายได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังมาก ราชาสุทโธทนะจึงส่งคนสื่อสารไปทูลเชิญให้พระพุทธเจ้าหวนคืนสู่กรุงกบิลพัสดุ์
ในที่สุดหลังจากออกพรรษากาลแล้ว เมื่อมาถึงฤดูใบไม้ผลิพระพุทธเจ้ากับบรรดาพระสาวกของพระพุทธองค์ก็เดินทางกลับไปกรุงกบิลพัสดุ์ ( Kapilavastu)ตามคำเชิญ ถือว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้วจึงหวนคืนกลับมาได้เห็นพระราชบิดาได้พบภรรยาและลูกชายสมัยเมื่อยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั้น และเรื่องราวบอกว่าแม่ของลูกชายน้อยนามราหุลนั้นได้ส่งราหุลไปยังชายนักบวชผู้เป็นพ่อที่ยืนโดดเด่นในเสื้อคลุมสีเหลืองผู้ยืนอยู่ด้วยสายตาที่สงบเย็น ณ ประตูทางเข้าวังนั้น
ฝ่ายเด็กชายเดินเข้าไปหาพ่อของตนหลังจากทักทายแล้วกล่าวขอมรดกของเขาและพระพุทธเจ้าทรงหันไปที่พระสารีบุตรแล้วตรัสว่า“ รับเขาเข้าสู่พุทธจักรของเราเถิด” (The boy asked for his inheritance and the Buddha, his father, turning to Sariputta, said, “Receive him into the Order.”)
ดังนั้นทายาทแห่งบัลลังก์ของศากยะ( Sakyas) จึงได้รับมรดกทางจิตวิญญาณของพระพุทธองค์โดยให้ราหุลบวชเป็นสามเณรน้อยตั้งแต่บัดนั้น
หลังจากเยี่ยมบรรดามวลพระญาติเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาหวนคืนกลับไปที่วัดเวฬุวันแห่งกรุงราชคฤห์ ( Rajagaha) ตลอดเส้นทางการเดินกลับนั้นได้มีผู้คนสนใจอยากฟังพระสัจธรรมมากเมื่อคณะสงฆ์มาถึงสถานที่อยู่ของพ่อค้าที่ร่ำรวยมากของกรุงสาวัตถีเขาชื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อเขาทราบข่าวพระพุทธเจ้าแล้วคอยติดตามชื่นชมในพระบารมีธรรมของพระพุทธองค์ครั้นเมื่อได้สดับพระสัจธรรมแล้วเกิดดวงตาเห็นธรรม และเขาได้สร้างสถานที่พักผ่อนในทุกระยะทางจากกรุงราชคฤห์ ( Rajagaha) ถึงกรุงสาวัตถี( Savatthi) และเขามีคำสั่งซื้อสวนเจ้าเชต( Jetavana Grove) เพื่อถวายเป็นสถานที่วัดทางพระพุทธศาสนาโดยซื้อจากเจ้าชายเชต ( Prince Jeta) ด้วยทองคำมากที่สุดเท่าที่จะครอบคลุมพื้นสวนนั้นได้
พระพุทธเจ้าขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของอนาถปิณฑิกเศรษฐีโดยรับเขาเป็นลูกศิษย์และอารามที่สร้างขึ้นในป่านั้น( Jetavana) กลายเป็นสำนักงานใหญ่ของพระพุทธองค์ตลอดเวลาแห่งการปกครองคณะสงฆ์ที่เหลืออยู่ของพระพุทธเจ้า
ในช่วงประมาณเวลาดังกล่าวนี้มีหญิงคนหนึ่งนามวิสาขาเธอเป็นภรรยาของหัวหน้าสมาคมแห่งกรุงสาวัตถี( Savatthi) หลังจากเธอได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วเธอได้อุปถัมภ์บำรุงกิจการศาสนาของพระพุทธองค์ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าเธอได้ขายเสื้อผ้าที่ประดับอัญมณีอันงดงามที่มีคารามากของเธอเมื่อขายแล้วเธอได้นำเงินมาทะนุบำรุงคณะสงฆ์ดังกล่าว
ดังนั้นในฐานะชาวเมืองสาวัตถีรวมทั้งกษัตริย์และเจ้าชายได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดในการทำนุบำรุงศาสนสถานเพื่อแลกเปลี่ยนกับธรรมะของพระพุทธเจ้าซึ่งนำมวลมนุษย์ทุกคนไปสู่จุดจบของความทุกข์ทรมานได้
พระพุทธเจ้ามีชื่อเสียงในฐานะทรงเป็นบรมครูและแม้กระทั่งในฐานะที่เป็นอนุญาโตตุลาการก็แผ่กระจายไปทั่วอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงให้หลีกเลี่ยงสงครามท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้น( On one occasion he averted a local war.)
ในชีวิตของพระพุทธเจ้าทรงให้หลีกเลี่ยงการทำสงครามปรากฏดังต่อไปนี้
หากว่าผู้นำที่ทันสมัยมีเหตุผลตอบโต้การปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน! ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่าเจ้าชายทั้งสองแคว้นครั้งหนึ่งเคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้ที่ดุเดือดในการทะเลาะที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเขื่อนที่สร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำในแม่น้ำโรหิณี ระหว่างกษัตริย์เหล่านี้กับกองทัพที่ชุมนุมกันของพวกเขากำลังจะรบกันอยู่แล้วแต่พระพุทธเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นและถามสาเหตุของความขัดแย้งว่าเกิดอะไรขึ้นรึ..?
เมื่อพระพุทธองค์ได้รับแจ้งอย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะทำสงครามกันแล้วพระพุทธองค์ทรงวางคำถามต่อไปนี้:
บอกฉันสิ โอ้ กษัตริย์ ! โลกนี้มีคุณค่าที่แท้จริงหรือไม่ ?
ได้รับคำตอบว่า โลกนี้ไม่มีค่าอะไรเลย.
พระพุทธองค์ทรงถามต่อไปอีกว่า..น้ำมีค่าที่แท้จริงหรือไม่ ?
ได้รับคำตอบว่า ไม่มีค่าอะไรเลย.
แต่สายเลือดแห่งราชา( แห่งมวลญาติ)นั้นมีค่าที่แท้จริงหรือไม่ ?หมายถึงสายเลือดเดียวกันเข้มข้นกว่าน้ำจะมาทะเลาะกันทำไมกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ มันสมเหตุสมผลหรือไม่ละที่ว่า สิ่งใดที่มีค่าควรเทียบกับสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรอย่างนั้น
ฝ่ายพระมหากษัตริย์ที่โมโหได้พิจารณาเห็นภูมิปัญญาของเหตุผลนี้ที่พระตถาคตตรัสถามและแล้วได้ละทิ้งข้อพิพาทของพวกเขานั้นแล.