คณะสงฆ์ในศาสนาพุทธ 3
เขียนโดย... Christmas Humphreys
แปลโดย...อุทัย เอกสะพัง
ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับเทศกาลเข้าพรรษาครั้งแรก (The First Retreat)
จากนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จสู่กรุงราชคฤห์ (Rajagaha )ปัจจุบันอยู่ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ด้วยชื่อเสียงของพระพุทธองค์ลือกะฉ่อนไปไกลและได้นำหน้าพระพุทธองค์ไปก่อนแล้ว
กาลต่อมาความทราบถึงกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองดังกล่าวชื่อพระราชาพิมพิสาร (King Bimbisara) ได้รีบออกมาพบพระพุทธเจ้าพร้อมกับไพร่พลหลังจากทักทายเป็นที่เรียบร้อยแล้วและท่านขอให้พระพุทธเจ้าสอนธรรมะและเมื่อได้ยินว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมใหม่แล้ว ทรงนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยบรรดาพระสาวกทั้งหลายเข้าสู่พระราชวัง
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับประทานอาหารที่วังและได้รับมอบอุทยานเป็นที่รู้จักในชื่อดงไผ่เพื่อใช้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาเพื่อการอยู่ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์อย่างถาวรต่อมาวัดนี้ถือว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนานามว่า วัดเวฬุวัน.
ต่อมาขณะที่บรรดาพระสงฆ์พำนักพักผ่อนอยู่ที่นั้นได้มีเหตุการณ์ที่น่าทึ่งเกิดขึ้นคือ
ศิษย์ใหม่ที่ออกบวชของพระพุทธเจ้าชื่อว่าพระอัสสชิ ( Assaji) ได้พบกับหนุ่มน้อยนาม สารีบุตร ( Sariputta) เขาเป็นศิษย์ของนักบวชที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆกันนั้น
โดยสารีบุตรคนนี้มีเพื่อนรักกันมากนาม โมคคัลลานะ ( Moggallana) และชายทั้งสองสัญญากันว่าใครได้พบทางสว่างหรือบรรลุสัจธรรมแล้วจะบอกซึ่งกันและกันเพื่อทั้งคู่จะได้ "บรรลุความเป็นอมตะ"
กล่าวถึงหนุ่มสารีบุตรเกิดประทับใจมากที่ได้เห็นกิริยามารยาทหรือการประพฤติปฏิบัติธรรมของพระอัสสชิ( Assaji) ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาคิดอยากเข้าไปพบสนทนาด้วยจึงคอยสอดส่องติดตามท่านไปอยู่
ในขณะที่พระอัสสชิเคลื่อนไหวตนเองเพื่อออกไปบิณฑบาตยังในตัวเมืองราชคฤห์นั้นเมื่อท่านกลับมายังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อฉันภัตตาหารในบาตรเรียบร้อยแล้ว หนุ่มสารีบุตรไม่รอช้ารีบตรงไปทักทายแล้วเริ่มสนทนากันยิ่งอยากรู้มากขึ้นตามลำดับและต่อมาหนุ่มสารีบุตรขอให้พระอัสสชิบวชเขาให้เป็นนักพรตคนหนึ่งโดยติดตามเป็นลูกศิษย์ตลอดไป ฝ่ายพระอัสสชิว่าสิ่งที่เราปฏิบัติอยู่นี้เพราะบรมครูของเราสอนอย่างนี้ ทำให้หนุ่มสารีบุตรสนใจมากยิ่งขึ้นว่าครูของท่านเป็นใครและสอนอะไรบ้าง
ฝ่ายพระอัสสชิ ( Assaji) ได้บอกเขาว่าบรมครูของฉัน คือศากยมุนี (นักปราชญ์แห่ง ชาวศากยะ (Sakyas) แต่เมื่อฉันได้รับการอุปสมบทคือบวชเป็นพระสงฆ์ใหม่แล้ว ฉันไม่สามารถสั่งสอนธรรมะได้ทั้งหมดดอก “ งั้นก็บอกฉันหน่อย” หนุ่มสารีบุตร (Sariputta) กล่าวอย่างกระตือรือร้นเพื่ออยากฟังว่าบรมครูของท่านสอนอย่างไรบ้างและพระอัสสชิ ( Assaji) ได้กล่าวคำตอบที่น่าทึ่งดังนี้:
ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาล้วนเกิดมาจากสาเหตุ
ตถาคต (Tathagata) ได้อธิบายสาเหตุ
และยังได้อธิบายถึงการดับของเหตุนั้น
นี่บรมครูผู้มีความสามารถผู้ยิ่งใหญ่นี้ได้ประกาศอย่างนี้
(Of all things which proceed from a cause
The Tathagata has explained the cause,
And also has explained their ceasing.
This the great Adept has proclaimed.)
เพียงเพราะได้ฟังเท่านี้หนุ่มสารีบุตรเอาสิ่งนี้ไปพิจารณาหาความหมายว่า“ อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้นั่นคือสิ่งที่ดับได้” และสิ่งเกิดขึ้นในจิตของหนุ่มสารีบุตร“ เกิดสว่างวาบขึ้นภายในจิตหรือเกิดได้ดวงตาเห็นธรรม” นั่นคือการตื่นขึ้นของจิตสำนึกรู้ที่สูงขึ้นซึ่งนำไปสู่การตรัสรู้เช่นนี้เป็นผลฉับพลันทันทีกับเขา
ต่อมาหนุ่มสารีบุตรรีบเดินทางที่จะไปพบเพื่อนของเขาเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ให้เพื่อนฟังชื่อ โมคคัลลานะ ( Moggallana) เมื่อหนุ่มโมคคัลลานะเห็นเขารู้ทันทีว่าเขาได้ "บรรลุอมตะ" และเขาก็เช่นกันการได้รับการบอกธรรมะในสูตรที่โดดเด่นเหมือนกันนี้ก็บรรลุถึงการเป็นผู้รอบรู้
สำหรับสหายทั้งสองคนดังกล่าวได้ไปอำลาอาจารย์เดิมเพื่อเดินทางมุ่งตรงมาสู่สำนักพระพุทธเจ้า ต่อมาสหายทั้งสองคนนั้นก็กลายเป็นหัวหน้าพระสาวกที่สำคัญยิ่งของพระตถาคต (Tathagata) คือพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวาและพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า การบรรลุความสำเร็จอย่างนี้ถือว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่งและสูตรนี้ยากที่จะยอมรับได้เว้นแต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นประเพณีลึกลับมีพลังเป็นจำนวนมาก หรือคนที่มีความสามารถสูงได้รับสิทธิ์ที่จะอยู่บนโลกในเวลาที่อาจารย์เกิดมาเป็นชาติสุดท้าย
ดังนั้น วิถีทางแห่งสหายทั้งสองที่ใช้ชีวิตจนเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ "สุกงอม" แล้วเกิดเบื่อหน่ายอยากค้นหาทางหลุดพ้นสำหรับประสบการณ์เช่นนี้และเขาทั้งสองได้ค้นหาเจอเส้นทางสว่างในชีวิตของตนแล้ว.