พระไตรปิฎกอ่านง่าย เล่มที่ ๑๐ (พระสูตร เล่มที่ ๒) เรื่องที่ ๘. สักกปัญหสูตร เรื่องปัญหาของท้าวสักกะเทวราช


๘. สักกปัญหสูตร  ว่าด้วยปัญหาของท้าวสักกะ

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในถ้ำอินทสาละที่ภูเขาเวทิยกะ ทางทิศเหนือของหมู่บ้านพราหมณ์ชื่ออัมพสัณฑ์ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกแห่งกรุงราชคฤห์แคว้นมคธ

เวลานั้น ท้าวสักกะจอมเทพทรงเกิดความขวนขวายเพื่อจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงมีความดำริดังนี้ว่า “บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ” เมื่อทรงทราบแล้ว จึงรับสั่งเรียกพวกเทพชั้นดาวดึงส์มาตรัสว่า “ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในถ้ำอินทสาละที่ภูเขาเวทิยกะ ทางทิศเหนือของหมู่บ้านพราหมณ์ชื่ออัมพสัณฑ์ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกแห่งกรุงราชคฤห์แคว้นมคธ ทางที่ดี พวกเราควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”

พวกเทพชั้นดาวดึงส์รับคำของท้าวสักกะจอมเทพแล้ว ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพไปชักชวนปัญจสิขะ คันธรรพบุตร ให้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยกัน

ปัญจสิขะ คันธรรพบุตรทูลรับคำแล้ว ได้ถือพิณสีเหลืองดังผลมะตูมตามเสด็จท้าวสักกะจอมเทพมา

ท้าวสักกะจอมเทพ ผู้มีเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์แวดล้อม มีปัญจสิขะคันธรรพบุตรนำเสด็จ ได้ทรงหายตัวจากภพชั้นดาวดึงส์ไปปรากฏอยู่ที่ภูเขาเวทิยกะทางทิศเหนือของหมู่บ้านพราหมณ์ชื่ออัมพสัณฑ์ เหมือนบุรุษมีกำลังได้เหยียดแขนเข้าหรือเหยียดแขนออก ฉะนั้น

 เวลานั้น ภูเขาเวทิยกะและหมู่บ้านพราหมณ์ชื่ออัมพสัณฑ์สว่างไสวยิ่งนัก ด้วยเทวานุภาพของเหล่าเทพ ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงรอบๆ กล่าวกันอย่างนี้ว่า “วันนี้ภูเขาเวทิยกะถูกไฟเผาไหม้ลุกโชติช่วงหรือ ทำไมหนอ วันนี้ ภูเขาเวทิยกะและหมู่บ้านพราหมณ์ชื่ออัมพสัณฑ์จึงสว่างไสวยิ่งนักเล่า” พากันตกใจขนพองสยองเกล้า

ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพรับสั่งเรียกปัญจสิขะ คันธรรพบุตรมาตรัสว่า “ปัญจสิขะ ตถาคตทรงเข้าฌาน ทรงพอพระทัยในฌาน ระหว่างที่พระองค์ประทับเข้าฌานอยู่ คนเช่นเรายากที่จะเข้าไปเฝ้าได้ ทางที่ดี เธอควรทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยก่อน หลังจากนั้น พวกเราจึงควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”

ปัญจสิขะ คันธรรพบุตรทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว จึงถือพิณสีเหลืองดังผลมะตูมเข้าไปจนถึงถ้ำอินทสาละแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควร คะเนดูว่า “ระยะเท่านี้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นักจากเรา และทรงได้ยินเสียงของเรา”

เพลงขับกล่อมของปัญจสิขะ คันธรรพบุตร

ปัญจสิขะ คันธรรพบุตรยืนอยู่ ณ ที่สมควร ได้บรรเลงพิณสีเหลืองดังผลมะตูมและกล่าวคาถาอันเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธ เกี่ยวเนื่องด้วยพระธรรมเกี่ยวเนื่องด้วยพระสงฆ์ เกี่ยวเนื่องด้วยพระอรหันต์ และเกี่ยวเนื่องด้วยกามเหล่านี้ว่า

       แม่ภัททาสุริยวัจฉสา

        ฉันขอกราบท่านติมพรุบิดาของเธอ

                โดยเหตุที่เธอเกิดมางดงาม ทำให้ฉันปลื้มใจ

                เหมือนสายลมย่อมเป็นที่ปรารถนาของผู้มีเหงื่อ

                หรือเหมือนน้ำเป็นที่ปรารถนาของผู้กระหาย

                เธอผู้ไฉไลเป็นที่รักของฉัน

                ดุจธรรมเป็นที่รักของพระอรหันต์

                เธอจงช่วยดับความเร่าร้อน

                เหมือนช่วยวางยาคนไข้ผู้กระสับกระส่าย

                เหมือนให้อาหารแก่ผู้หิว

                หรือเหมือนใช้น้ำดับไฟที่กำลังลุกอยู่

                ขอให้ฉันได้ซบลงจดถันและอุทรของเธอ

                เหมือนช้างที่ร้อนจัดในคราวร้อน

                หยั่งลงสู่สระโบกขรณีมีน้ำเย็น

                ระคนด้วยละอองเกสรดอกปทุม

                ฉันมึนงงเพราะเห็นช่วงขาที่งามสมส่วน

                ไม่รับรู้เหตุการณ์ อะไรๆ

                เหมือนช้างเหลือขอเพราะถือว่าเราชนะได้แล้ว

                ฉันมีใจจดจ่อที่เธอ ไม่อาจกลับใจที่แปรผันไป

                เหมือนปลาที่กลืนเบ็ดเข้าไป

                นางผู้เจริญ เธอจงเอาขาซ้ายกระหวัดฉันไว้

                เธอผู้มีดวงตาหยาดเยิ้มจงกระหวัดฉันไว้เถิด

                เธอผู้งดงามจงสวมกอดฉันไว้

                สิ่งนี้คือสิ่งที่ฉันปรารถนายิ่งนัก

                ความใคร่ของฉันต่อเธอผู้มีผมงามสลวย

                ถึงมีน้อยก็เกิดผลมาก

                เหมือนทักษิณาที่ถวายแด่พระอรหันต์

                นางผู้งดงามทั่วสรรพางค์

                บุญที่ฉันได้ทำไว้ในพระอรหันต์ผู้คงที่นั้น

                จงอำนวยผลแก่ฉันพร้อมกับเธอ

                นางผู้งดงามทั่วสรรพางค์

                บุญที่ฉันได้ทำไว้ในปฐพีมณฑลนี้

                จงอำนวยผลแก่ฉันพร้อมกับเธอ

                แม่ภัททาสุริยวัจฉสา ฉันใฝ่ฝันหาเธอ

                เหมือนพระสมณศากยบุตรผู้ทรงเข้าฌานอยู่ผู้เดียว

                ผู้มีปัญญาครองตน มีสติ

                เป็นมุนี แสวงหาอมตธรรม

                แม่คุณคนงาม ถ้าฉันได้อยู่ร่วมกับเธอ ก็จะพึงชื่นชม

                เหมือนพระมุนีบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุดพึงชื่นชม

                หากท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งดาวดึงส์

                จะประทานพรแก่ฉัน

                ฉันก็จะต้องเลือกเอาเธอเป็นแน่

                ความปรารถนาของฉันมั่นคงอยู่อย่างนี้

                แม่คุณผู้เฉลียวฉลาด

                ฉันขอน้อมไหว้บิดาของเธอผู้มีธิดางามเช่นนี้

                ดุจต้นสาละที่ผลิดอกใหม่ๆ ฉะนั้น”

เมื่อปัญจสิขะ คันธรรพบุตรกราบทูลอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับปัญจสิขะ คันธรรพบุตรดังนี้ว่า “ปัญจสิขะ เสียงสายพิณของท่านเทียบได้กับเสียงขับร้อง และเสียงขับร้องเทียบได้กับเสียงสายพิณ เสียงสายพิณของท่านไม่เกินเสียงขับร้อง และเสียงขับร้องก็ไม่เกินเสียงสายพิณ ถ้อยคำอันเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธเกี่ยวเนื่องด้วยพระธรรม เกี่ยวเนื่องด้วยพระสงฆ์ เกี่ยวเนื่องด้วยพระอรหันต์ และเกี่ยวเนื่องด้วยกามเหล่านี้ ท่านประพันธ์ไว้เมื่อไร”

ปัญจสิขะ คันธรรพบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ประพันธ์คาถาเหล่านี้ไว้ เมื่อสมัยที่พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ใต้ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา สมัยนั้น ข้าพระองค์หลงรักภัททาสุริยวัจฉสา ธิดาของท้าวติมพรุคันธรรพราช แต่นางรักกลับไปหลงรักสิขัณฑี บุตรของมาตลีสังคาหกเทพบุตร เมื่อข้าพระองค์ไม่ได้นางด้วยวิธีหนึ่ง จึงถือเอาพิณสีเหลืองดังผลมะตูมเข้าไปยังนิเวศน์ของท้าวติมพรุคันธรรพราช แล้วบรรเลงพิณขึ้นกล่าวคาถาอันเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธ เกี่ยวเนื่องด้วยพระธรรม เกี่ยวเนื่องด้วยพระสงฆ์ เกี่ยวเนื่องด้วยพระอรหันต์ และเกี่ยวเนื่องด้วยกามเหล่านี้ ดังบทเพลงข้างต้น

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ นางภัททาสุริยวัจฉสากล่าวตอบว่า ‘ท่านผู้นิรทุกข์ ฉันไม่เคยเห็นพระผู้มีพระภาคในที่เฉพาะพระพักตร์ เป็นแต่เคยได้ยินเมื่อเข้าไปฟ้อนในสุธัมมาเทวสภา ของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เนื่องจากท่านได้กล่าวสรรเสริญพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นได้ ก็จงมาสมาคมกับพวกเรา ณ บัดนี้’ ข้าพระองค์จึงได้ร่วมสมาคมกับนางและไม่ใช่ครั้งนี้เท่านั้น หลังจากนั้นมาข้าพระองค์ก็ได้สมาคมกันอีก”

ท้าวสักกะจอมเทพเข้าเฝ้า

ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพทรงมีความดำริดังนี้ว่า “ปัญจสิขะคันธรรพบุตร ได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค และพระผู้มีพระภาคก็ทรงปราศรัยกับปัญจสิขะ” จึงรับสั่งเรียกปัญจสิขะ คันธรรพบุตรมาตรัสว่า “ปัญจสิขะ เธอจงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคตามคำของเราว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท้าวสักกะจอมเทพพร้อมด้วยอำมาตย์ พร้อมด้วยบริษัท ขอถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยพระเศียรเกล้า”

ปัญจสิขะ คันธรรพบุตรทูลรับสนองพระดำรัสแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคตามรับสั่งนั้น

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ปัญจสิขะ ขอให้ท้าวสักกะ จอมเทพพร้อมด้วยอำมาตย์ พร้อมด้วยบริษัทจงมีความสุขเถิด เพราะว่ามีพวกเทวดา มนุษย์ อสูรนาค คนธรรพ์ และสัตว์เหล่าอื่นอีกจำนวนมากต่างก็ปรารถนาความสุข”

พระตถาคตทั้งหลายย่อมประทานพรแก่เทพผู้มีศักดิ์ใหญ่เช่นนี้อย่างนี้ ท้าวสักกะ จอมเทพผู้อันพระผู้มีพระภาคได้ประทานพรแล้ว เสด็จเข้าไปยังถ้ำอินทสาละของพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร แม้พวกเทพชั้นดาวดึงส์ แม้ปัญจสิขะ คันธรรพบุตร ก็เข้าไปยังถ้ำอินทสาละ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร

เวลานั้น ถ้ำอินทสาละซึ่งมีพื้นไม่สม่ำเสมอก็สม่ำเสมอ ที่คับแคบก็กลับกว้างขวาง ความมืดในถ้ำหายไป เกิดความสว่างขึ้นเพราะเทวานุภาพของเหล่าเทพ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท้าวสักกะ จอมเทพดังนี้ว่า “นี้เป็นเหตุน่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏที่ท้าวโกสีย์ มีกิจมาก มีหน้าที่ที่จะต้องทำอีกมากเสด็จมาถึงที่นี้ได้”

ท้าวสักกะ จอมเทพกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคตั้งนานแล้ว แต่มัวสาละวนด้วยกิจหน้าที่ของพวกเทพชั้นดาวดึงส์ จึงไม่สามารถมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้ ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่สลฬาคาร เขตกรุงสาวัตถี ข้าพระองค์ได้ไปยังกรุงสาวัตถีเพื่อจะเฝ้าพระองค์ แต่ขณะนั้นพระองค์ประทับเข้าสมาธิอยู่ มีนางปริจาริกาของท้าวเวสวัณมหาราชชื่อว่าภุชคีคอยอุปัฏฐาก นางยืนประนมมือถวายนมัสการอยู่ ขณะนั้นข้าพระองค์กล่าวกับนางว่า ‘น้องหญิง เธอจงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคตามคำของเราว่า ‘ท้าวสักกะจอมเทพพร้อมด้วยอำมาตย์พร้อมด้วยบริษัท ขอถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยพระเศียร’ เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้นางตอบข้าพระองค์ดังนี้ว่า ‘ท่านผู้นิรทุกข์ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์ท่านทรงหลีกเร้นเพียงลำพัง’ ข้าพระองค์จึงสั่งว่า ‘น้องหญิง ถ้าอย่างนั้นคราวที่พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธิ เธอจงถวายอภิวาทพระองค์ตามคำของเราว่า ‘ท้าวสักกะ จอมเทพพร้อมด้วยอำมาตย์พร้อมด้วยบริษัท ขอถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยพระเศียร’ นางได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคหรือไม่ พระองค์ทรงระลึกถึงคำของนางได้อยู่หรือ”

“เธอไหว้เราแล้ว เราระลึกถึงคำของเธอได้ และเราออกจากสมาธิเพราะเสียงล้อรถของพระองค์”

“ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะหน้าพวกเทพผู้เกิดในหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ก่อนกว่าพวกข้าพระองค์ว่า ‘คราวที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก หมู่เทพเจริญเต็มที่ หมู่อสูรเสื่อมถอยลง’ ข้อนี้ข้าพระองค์ได้เห็นประจักษ์แล้วว่า เมื่อพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก หมู่เทพเจริญเต็มที่ หมู่อสูรเสื่อมถอยลง’

เรื่องโคปกเทพบุตร

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกรุงกบิลพัสดุ์นี้ ได้มีศากยธิดานามว่าโคปิกา ผู้เลื่อมใสในพระพุทธ เลื่อมใสในพระธรรม เลื่อมใสในพระสงฆ์ ผู้รักษาศีล ให้บริบูรณ์ หน่ายความรู้สึกเป็นหญิง ปรารถนาที่จะเป็นชาย หลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ได้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ได้เป็นบุตรของข้าพระองค์ในที่นั้น พวกเทพรู้จักเธออย่างนี้ว่า ‘โคปกเทพบุตร’ ภิกษุอื่นอีก ๓ รูปประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ไปเกิดในหมู่คนธรรพ์ซึ่งเป็นชั้นต่ำ พวกคนธรรพ์นั้นเอิบอิ่ม พรั่งพร้อม ได้รับการบำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ มาสู่ที่บำรุงบำเรอของข้าพระองค์ โคปกเทพบุตรกล่าวเตือนพวกคนธรรพ์ผู้มายังที่บำรุงบำเรอของข้าพระองค์ว่า ‘ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พวกท่านหันหน้าไปทางไหน ทั้งที่ได้ฟังพระธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแล้ว เราเป็นหญิงเลื่อมใสในพระพุทธ เลื่อมใสในพระธรรมเลื่อมใสในพระสงฆ์ รักษาศีลให้บริบูรณ์ หน่ายความรู้สึกเป็นหญิง ปรารถนาเป็นชาย หลังจากตายแล้วมาเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ได้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์เป็นบุตรของท้าวสักกะจอมเทพ ในที่นี้พวกเทพรู้จักเราอย่างนี้ว่า ‘โคปกเทพบุตร’ส่วนพวกท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค มาเกิดในหมู่คนธรรพ์ซึ่งเป็นชั้นต่ำ พวกเราได้เห็นผู้ร่วมประพฤติธรรมที่มาเกิดในหมู่คนธรรพ์ซึ่งเป็นชั้นต่ำนับว่าได้เห็นรูปที่ไม่น่าดูเลย’ เมื่อพวกคนธรรพ์ ๓ ตน ถูกโคปกเทพบุตรตักเตือนมีเทพ ๒ องค์ กลับได้สติในปัจจุบันทันทีแล้วไปเกิดในพรหมโลกชั้นพรหมปุโรหิตา ส่วนเทพอีกองค์หนึ่งยังคงอยู่ในกามภพ

โคปกเทพบุตรกล่าวว่า

             ‘เรามีนามว่า ‘โคปิกา’

             เป็นอุบาสิกาของพระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ

             เราเลื่อมใสอย่างยิ่งในพระพุทธ พระธรรม

             และมีจิตเลื่อมใสบำรุงพระสงฆ์

             เพราะความดีของพระธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทีเดียว

             เราได้เป็นบุตรของท้าวสักกะ มีอานุภาพมาก

             มีความรุ่งเรืองมาก มาเกิดในเทวโลกชั้นดาวดึงส์

             แม้ในที่นี้พวกเทพรู้จักเราว่า ‘โคปกเทพบุตร’

             เราได้มาเห็นพวกภิกษุผู้เป็นสาวกของพระโคดม

             ผู้เกิดอยู่ในหมู่คนธรรพ์

             ซึ่งเราเคยเห็นมาแล้ว เมื่อครั้งเป็นมนุษย์

             ยังได้เคยปรนนิบัติเท้า ในเรือนของตน

             แล้วอุปัฏฐากด้วยข้าวและน้ำ

             ท่านเหล่านี้หันหน้าไปทางไหน

             จึงไม่ได้รับพระธรรมของพระพุทธเจ้า

             พระธรรมที่วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

             ที่พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงไว้ดีแล้ว

             แม้เราก็เข้าไปหาพวกท่านได้ฟังสุภาษิตของพระอริยเจ้า

             ได้เป็นบุตรของท้าวสักกะ มีอานุภาพมาก

             มีความรุ่งเรืองมาก มาเกิดในเทวโลกชั้นดาวดึงส์

             ส่วนพวกท่านเข้าไปนั่งใกล้พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ

             ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยม

             แต่กลับมาเกิดในหมู่เทพชั้นต่ำการเกิดของพวกท่านไม่สมควร

             เราได้มาเห็นผู้ร่วมประพฤติธรรมมาเกิดในหมู่เทพชั้นต่ำ นับว่าได้เห็นรูปที่ไม่น่าดูเลย

พวกท่านมาเกิดในหมู่คนธรรพ์ ยังต้องมาสู่ที่บำรุงบำเรอของพวกเทพ ขอให้ท่านจงดูความวิเศษอันนี้ของเราผู้อยู่ครองเรือนเถิด เราเป็นหญิง แต่วันนี้เป็นเทพบุตรผู้พรั่งพร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์’

คนธรรพ์พวกนั้นพร้อมกันมาพบโคปกเทพบุตร ถูกเทพบุตรผู้เป็นสาวกของพระโคดมตักเตือนแล้วจึงเกิดความสังเวชว่า

‘เอาเถิด พวกเราจะเพียรพยายามอย่าได้เป็นคนรับใช้ของผู้อื่นอีกเลย’

บรรดาคนธรรพ์เหล่านั้นคนธรรพ์ ๒ ตนระลึกถึงคำสอนของพระโคดมได้จึงได้เริ่มตั้งความเพียร หน่ายความคิดในภพนี้เห็นโทษในกาม ตัดกามสังโยชน์ และกามพันธน์อันเป็นโยคะที่ละได้ยากของมารผู้มีบาปก้าวล่วงเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์ เพราะตัดกามคุณอันมีอยู่เสียได้ประดุจช้างตัดบ่วงบาศได้

เทพทั้งหมดพร้อมทั้งพระอินทร์และพระปชาบดีเข้าไปนั่งประชุมกันในสุธัมมาเทวสภา ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้กล้า ปราศจากราคะกำลังบำเพ็ญธรรมที่ปราศจากความกำหนัดได้ ก้าวล่วงเทพพวกนั้นที่นั่งอยู่ ท้าววาสวะผู้เป็นใหญ่กว่าเทพทอดพระเนตรเทพเหล่านั้นท่ามกลางหมู่เทพแล้ว ทรงสังเวชว่า ‘เทพเหล่านั้นมาเกิดในหมู่เทพชั้นต่ำกว่าเวลานี้กลับก้าวล่วงพวกเทพชั้นดาวดึงส์ได้’ โคปกเทพบุตรนั้นพิจารณาถ้อยคำของท้าวสักกะผู้ทรงเกิดความสังเวชแล้วกราบทูลท้าววาสวะว่า ‘มีพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นจอมคนอยู่ในมนุษยโลกทรงครอบงำกามเสียได้ พระนามว่าพระศากยมุนี เทพพวกนั้นเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นผู้เสื่อมจากสติ ถูกข้าพระองค์ตักเตือนแล้วจึงกลับได้สติ’ บรรดาท่านทั้ง ๓ เหล่านั้นผู้หนึ่งคงเกิดในหมู่คนธรรพ์อยู่ในภพนี้ อีก ๒ ท่านดำเนินตามทางสัมโพธิเพราะเป็นผู้มีจิตมั่นคง ย่อมเย้ยเทวโลกได้

การประกาศธรรมในศาสนานี้เป็นเช่นนี้ ไม่มีพระสาวกรูปไหนจะสงสัยอะไรในการประกาศธรรมนั้นเลยพวกข้าพระองค์ขอนอบน้อมพระชินพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นจอมคน ทรงข้ามโอฆะได้ทรงตัดความสงสัยได้แล้ว

บรรดาคนธรรพ์ ๓ ตนนั้น ๒ ตนรู้ธรรมอันใดของพระองค์แล้ว ถึงความเป็นผู้วิเศษไปเกิดในหมู่พรหมชั้นพรหมปุโรหิตาบรรลุคุณวิเศษแล้ว

ท่านผู้นิรทุกข์ ขอประทานวโรกาสถึงพวกข้าพระองค์ก็มาเพื่อบรรลุธรรมนั้นหากพระผู้มีพระภาคทรงประทานวโรกาสก็จะขอทูลถามปัญหา”

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า “ท้าวสักกะทรงเป็นผู้บริสุทธิ์มาช้านาน จะตรัสถามปัญหากับเรา ก็จะตรัสถามทุกอย่างที่ประกอบด้วยประโยชน์ จะไม่ตรัสถามปัญหาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และท้าวเธอจะทรงเข้าใจที่เราตอบได้ฉับพลันเทียว”

จากนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท้าวสักกะจอมเทพได้สอบถามปัญหา  ท้าวสักกะจอมเทพได้ทูลถามปัญหาข้อที่ ๑ นี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกเทพ มนุษย์ อสูรนาค คนธรรพ์ และสัตว์เหล่าอื่นอีกจำนวนมากต่างก็มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า‘ขอพวกเราจงเป็นผู้ไม่มีเวร จงเป็นผู้ไม่ถูกลงโทษ จงเป็นผู้ไม่มีศัตรู จงเป็นผู้ไม่ถูกเบียดเบียน จงเป็นผู้ไม่จองเวรกันอยู่เถิด’ แต่เพราะมีอะไรเป็นเครื่องผูกมัดเล่าพวกเขาจึงยังคงมีเวร ถูกลงโทษ มีศัตรู ถูกเบียดเบียน ยังจองเวรกันอยู่”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จอมเทพ พวกเทพ มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์และสัตว์เหล่าอื่นอีกจำนวนมาก แม่มีความปรารถนาอย่างนั้น   แต่เพราะมีอิสสาความริษยา และมัจฉริยะความตระหนี่เป็นเครื่องผูกมัด พวกเขาจึงยังคงมีเวร ถูกลงโทษ มีศัตรู ถูกเบียดเบียน จองเวรกันอยู่”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสตอบปัญหานั้น ท้าวสักกะจอมเทพมีพระทัยยินดีชื่นชมอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยในเรื่องนี้ หมดความแคลงใจแล้วเพราะได้ฟังการตรัสตอบปัญหาของพระผู้มีพระภาค”

ท้าวสักกะจอมเทพทรงชื่นชมอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคดังนี้แล้ว ได้ทูลถามปัญหาต่อไปอีกว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ อิสสาและมัจฉริยะมีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด  เมื่อมีอะไร จึงมีอิสสาและมัจฉริยะ เมื่อไม่มีอะไร จึงไม่มีอิสสาและมัจฉริยะ”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จอมเทพ อิสสาและมัจฉริยะ มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นต้นเหตุ มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นเหตุเกิดมีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นกำเนิด มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นแดนเกิด เมื่อมีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก จึงมีอิสสาและมัจฉริยะเมื่อไม่มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก จึงไม่มีอิสสาและมัจฉริยะ”

ท้าวเธอทูลถามว่า “อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก มีอะไรเป็นต้นเหตุมีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อมีอะไรจึงมีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก เมื่อไม่มีอะไรจึงไม่มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักมีฉันทะเป็นต้นเหตุ มีฉันทะเป็นเหตุเกิด มีฉันทะเป็นกำเนิด มีฉันทะเป็นแดนเกิด เมื่อมีฉันทะจึงมีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก เมื่อไม่มีฉันทะจึงไม่มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก”

“ฉันทะมีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อมีอะไรจึงมีฉันทะ เมื่อไม่มีอะไรจึงไม่มีฉันทะ”

“ฉันทะมีวิตก เป็นต้นเหตุ มีวิตกเป็นเหตุเกิดมีวิตกเป็นกำเนิด มีวิตกเป็นแดนเกิด เมื่อมีวิตกจึงมีฉันทะ เมื่อไม่มีวิตกจึงไม่มีฉันทะ”

“วิตกมีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อมีอะไรจึงมีวิตก เมื่อไม่มีอะไรจึงไม่มีวิตก”

“วิตกมีความคิดปรุงแต่ง เป็นต้นเหตุ มีความคิดปรุงแต่งเป็นเหตุเกิด เมื่อมีความคิดปรุงต่างจึงมีวิตก เมื่อไม่มีความคิดปรุงแต่งจึงไม่มีวิตก”

“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงจะชื่อว่าปฏิบัติตามข้อปฏิบัติอันสมควรและดำเนินไปสู่ความดับความคิดปรุงแต่ง”

เรื่องเวทนากัมมัฏฐาน

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จอมเทพ เรากล่าวโสมนัสไว้ ๒ อย่างคือ โสมนัสที่ควรเสพ และโสมนัสที่ไม่ควรเสพ กล่าวโทมนัสไว้ ๒ อย่าง คือ โทมนัสที่ควรเสพ และโทมนัสที่ไม่ควรเสพ และกล่าวอุเบกขาไว้ ๒ อย่าง คือ อุเบกขาที่ควรเสพ และอุเบกขาที่ไม่ควรเสพ

‘จอมเทพ เรากล่าวโสมนัสไว้ ๒ อย่าง คือโสมนัสที่ควรเสพ และโสมนัสที่ไม่ควรเสพ’ เพราะอาศัยเหตุอะไร โสมนัสใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพโสมนัสนี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง’ โสมนัสเช่นนี้เป็นโสมนัสที่ไม่ควรเสพ   โสมนัสใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพโสมนัสนี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง กุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น’ โสมนัสเช่นนี้เป็นโสมนัสที่ควรเสพ ในโสมนัส นั้น โสมนัสใดมีวิตก มีวิจาร และโสมนัสใดไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร บรรดาโสมนัส ๒ อย่างนั้น โสมนัสที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ประณีตกว่า’

เรากล่าวไว้เช่นนี้ว่า ‘จอมเทพ เรากล่าวโทมนัสไว้ ๒ อย่าง คือโทมนัสที่ควรเสพและโทมนัสที่ไม่ควรเสพ’ เพราะอาศัยเหตุอะไร โทมนัสใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพโทมนัสนี อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง’ โทมนัสเช่นนี้เป็นโทมนัสที่ไม่ควรเสพ  โทมนัสใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพโทมนัสนี อกุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง กุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น’ โทมนัสเช่นนี้เป็นโทมนัสที่ควรเสพ  ในโทมนัสนั้น โทมนัสใดมีวิตก มีวิจาร และโทมนัสใดไม่มีวิตก ไม่มีวิจารบรรดา โทมนัสที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ประณีตกว่า

เรากล่าวไว้เช่นนี้ว่า ‘จอมเทพ เรากล่าวอุเบกขาไว้ ๒ อย่าง คืออุเบกขาที่ควรเสพ และอุเบกขาที่ไม่ควรเสพ’ เพราะอาศัยเหตุอะไร อุเบกขาใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพอุเบกขานี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง’ อุเบกขาเช่นนี้เป็นอุเบกขาที่ไม่ควรเสพ  อุเบกขาใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพอุเบกขานี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง กุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น’ อุเบกขาเช่นนี้เป็นอุเบกขาที่ควรเสพ  ในอุเบกขานั้น อุเบกขาใดมีวิตก มีวิจาร และอุเบกขาใดไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร บรรดาอุเบกขา ๒ อย่างนั้น อุเบกขาที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ประณีตกว่า’

จอมเทพ ภิกษุปฏิบัติอย่างนี้  จึงจะชื่อว่าปฏิบัติตามข้อปฏิบัติอันสมควร และดำเนินไปสู่ความดับความคิดปรุงแต่ง”

ปาติโมกขสังวร

สำรวมในปาติโมกข์

ท้าวสักกะจอมเทพทรงชื่นชมอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคดังนี้แล้ว ได้ทูลถามปัญหาต่อไปอีกว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงจะชื่อว่าปฏิบัติเพื่อสำรวมในปาติโมกข์”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จอมเทพ เรากล่าวกายสมาจาร ความประพฤติทางกาย ไว้ ๒ อย่าง คือ กายสมาจารที่ควรเสพ และกายสมาจารที่ไม่ควรเสพ กล่าววจีสมาจารความประพฤติทางวาจาไว้ ๒ อย่างคือ วจีสมาจารที่ควรเสพ และวจีสมาจารที่ไม่ควรเสพ และกล่าวปริเยสนาการแสวงหาไว้ ๒ อย่างคือปริเยสนาที่ควรเสพและปริเยสนาที่ไม่ควรเสพ

‘จอมเทพ เรากล่าวกายสมาจารไว้ ๒ อย่างคือกายสมาจารที่ควรเสพ และกายสมาจารที่ไม่ควรเสพ’ เพราะอาศัยเหตุอะไร กายสมาจารใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพกายสมาจารนี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง’กายสมาจารเช่นนี้เป็นกายสมาจารที่ไม่ควรเสพ  กายสมาจารใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพกายสมาจารนี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง กุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น’ กายสมาจารเช่นนี้เป็นกายสมาจารที่ควรเสพ

‘จอมเทพ เรากล่าววจีสมาจารไว้ ๒ อย่าง คือ วจีสมาจารที่ควรเสพและวจีสมาจารที่ไม่ควรเสพ’ เพราะอาศัยเหตุอะไร วจีสมาจารใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพวจีสมาจารนี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง’ วจีสมาจารเช่นนี้เป็นวจีสมาจารที่ไม่ควรเสพ  วจีสมาจารใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพวจีสมาจารนี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง กุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น’วจีสมาจารเช่นนี้เป็นวจีสมาจารที่ควรเสพ

‘จอมเทพ เรากล่าวปริเยสนาไว้ ๒ อย่าง คือ ปริเยสนาที่ควรเสพและปริเยสนาที่ไม่ควรเสพ’ เพราะอาศัยเหตุอะไร  ปริเยสนาใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพปริเยสนานี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง’ ปริเยสนานี้เป็นปริเยสนาที่ไม่ควรเสพ  ปริเยสนาใดบุคคลรู้ว่า ‘เมื่อเราเสพปริเยสนานี้ อกุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง กุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น’ ปริเยสนาเช่นนี้เป็นปริเยสนาที่ควรเสพ

จอมเทพ ภิกษุปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะชื่อว่าปฏิบัติเพื่อสำรวมในปาติโมกข์”

อินทริยสังวรสำรวมอินทรีย์

ท้าวสักกะจอมเทพทรงชื่นชมอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคดังนี้แล้ว ได้ทูลถามปัญหาต่อไปอีกว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงจะชื่อว่าปฏิบัติเพื่อสำรวมอินทรีย์”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จอมเทพ เรากล่าวรูปที่พึงรู้แจ้งทางตาไว้  ๒ อย่าง คือ รูปที่ควรเสพ และรูปที่ไม่ควรเสพ กล่าวเสียงที่พึงรู้แจ้งทางหูไว้ ๒ อย่าง คือ เสียงที่ควรเสพและเสียงที่ไม่ควรเสพ กล่าวกลิ่นที่พึงรู้แจ้งทางจมูกไว้  ๒ อย่างคือ กลิ่นที่ควรเสพและกลิ่นที่ไม่ควรเสพ กล่าวรสที่พึงรู้แจ้งทางลิ้นไว้  ๒ อย่างคือ รสที่ควรเสพและรสที่ไม่ควรเสพ กล่าวโผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งทางกายไว้  ๒ อย่างคือ โผฏฐัพพะที่ควรเสพและโผฏฐัพพะที่ไม่ควรเสพ กล่าวธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งทางใจไว้ ๒ อย่างคือ ธรรมารมณ์ที่ควรเสพและธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพ”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ท้าวสักกะจอมเทพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ชัดเนื้อความแห่งพระภาษิตที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้โดยย่อนี้ได้โดยพิสดารอย่างนี้ว่า ‘เมื่อบุคคลเสพรูปที่พึงรู้แจ้งทางตาเช่นใด อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลงรูปที่พึงรู้แจ้งทางตาเช่นนี้เป็นรูปที่ไม่ควรเสพ เมื่อบุคคลเสพรูปที่พึงรู้แจ้งทางตาเช่นใด อกุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง กุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น รูปที่พึงรู้แจ้งทางตาเช่นนี้เป็นรูปที่ควรเสพ เมื่อบุคคลเสพเสียงที่พึงรู้แจ้งทางหูเช่นใด ฯลฯ เมื่อบุคคลเสพกลิ่นที่พึงรู้แจ้งทางจมูกเช่นใด ฯลฯ เมื่อบุคคลเสพรสที่พึงรู้แจ้งทางลิ้นเช่นใด ฯลฯ เมื่อบุคคลเสพโผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งทางกายเช่นใด ฯลฯ เมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งทางใจเช่นใด’ อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลง ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งทางใจเช่นนี้ เป็นธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพเมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งทางใจเช่นใด อกุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมลงกุศลธรรมทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งทางใจเช่นนี้ เป็นธรรมารมณ์ที่ควรเสพ’ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ชัดเนื้อความแห่งพระภาษิตที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้โดยย่อนี้ได้โดยพิสดารอย่างนี้ จึงไม่มีความสงสัยในเรื่องนี้หมดความแคลงใจแล้ว เพราะได้ฟังการตรัสตอบปัญหาของพระผู้มีพระภาค”

ท้าวสักกะจอมเทพชื่นชมอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคดังนี้แล้ว ได้ทูลถามปัญหาต่อไปอีกว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ สมณพราหมณ์ทั้งหมด มีวาทะหลักการอย่างเดียวกัน มีศีลข้อปฏิบัติอย่างเดียวกัน มีฉันทะลัทธิอย่างเดียวกัน มีอัชโฌสานะ จุดหมายอย่างเดียวกัน หรือหนอ”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จอมเทพ สมณพราหมณ์ทั้งหมด ไม่มีวาทะอย่างเดียวกัน ไม่มีศีลอย่างเดียวกัน ไม่มีฉันทะอย่างเดียวกัน ไม่มีอัชโฌสานะอย่างเดียวกัน   จอมเทพ โลกมีธาตุหลากหลาย มีธาตุต่างกัน ในโลกที่มีธาตุหลากหลายมีธาตุต่างกันนั้น เหล่าสัตว์ยึดมั่นธาตุใดๆ อยู่ ก็ย่อมยึดมั่นธาตุนั้นๆ ด้วยเรี่ยวแรงและความยึดมั่นอยู่ว่า ‘นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง’ เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหมด จึงไม่มีวาทะอย่างเดียวกัน ไม่มีศีลอย่างเดียวกัน ไม่มีฉันทะอย่างเดียวกัน ไม่มีอัชโฌสานะอย่างเดียวกัน”

“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ สมณพราหมณ์ทั้งหมด มีความสำเร็จสูงสุด มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด หรือหนอ”

“จอมเทพ สมณพราหมณ์ทั้งหมด ไม่มีความสำเร็จสูงสุด ไม่มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด ไม่มีที่สุดอันสูงสุด”

“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ เพราะเหตุไร สมณพราหมณ์ทั้งหมด จึงไม่มีความสำเร็จสูงสุด ไม่มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด ไม่มีที่สุดอันสูงสุด”

“จอมเทพ ภิกษุทั้งหลายผู้หลุดพ้นเพราะสิ้นตัณหาเท่านั้น จึงจะมีความสำเร็จสูงสุด มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหมดจึงไม่มีความสำเร็จสูงสุด ไม่มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุดไม่มีที่สุดอันสูงสุด”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสตอบปัญหาที่ท้าวสักกะจอมเทพทูลถามอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะจอมเทพมีพระทัยยินดีชื่นชมอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค  และได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ความหวั่นไหวเป็นโรค ความหวั่นไหวเป็นหัวฝี ความหวั่นไหวเป็นลูกศร ความหวั่นไหวฉุดคร่าบุรุษนี้ไปเพื่อบังเกิดในภพนั้นๆ ฉะนั้น บุรุษนี้จึงถึงฐานะสูงบ้างต่ำบ้าง  ปัญหาที่ข้าพระองค์ไม่ได้แม้โอกาสจะถามในสมณพราหมณ์เหล่าอื่นนอกพระธรรมวินัยนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบแก่ข้าพระองค์แล้ว และได้ทรงถอนลูกศรคือความสงสัยและความเคลือบแคลงที่นอนเนื่องมานานของข้าพระองค์ด้วย”

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “จอมเทพ พระองค์ทรงจำได้หรือไม่ว่าปัญหาข้อนี้ได้ตรัสถามสมณพราหมณ์เหล่าอื่นมาบ้างแล้ว”

“ข้าพระองค์ยังจำได้ พระพุทธเจ้าข้า”  “ข้าพระองค์เข้าไปหาสมณพราหมณ์ ที่เข้าใจว่า ‘เป็นผู้อยู่ป่า อยู่ในเสนาสนะอันสงัด’ แล้วถามปัญหาเหล่านี้ ท่านเหล่านั้น เมื่อถูกถามก็ตอบไม่ได้กลับย้อนถามข้าพระองค์ว่า ‘ท่านชื่ออะไร’ เมื่อถูกย้อนถาม ข้าพระองค์จึงตอบว่า ‘เราชื่อท้าวสักกะจอมเทพ’ ท่านเหล่านั้นก็ยังถามต่อไปอีกว่า ‘ท่านทำกรรมอะไรจึงถึงฐานะอันนี้เล่า’ ข้าพระองค์จึงแสดงธรรม ตามที่ได้ฟังที่ได้เรียนมา ท่านเหล่านั้นมีใจยินดีด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า ‘พวกเราได้เห็นท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวเธอได้ตรัสตอบปัญหาที่พวกเราถาม’ ท่านเหล่านั้นยอมเป็นสาวกของข้าพระองค์ ส่วนข้าพระองค์ไม่ยอมเป็นสาวกของท่านเหล่านั้น แต่บัดนี้ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นพระโสดาบัน ไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า”

เรื่องการได้โสมนัส

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “จอมเทพ พระองค์ยังทรงจำการได้ความยินดี การได้โสมนัสเช่นนี้ก่อนแต่นี้ได้หรือไม่”

ท้าวเธอทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ยังจำการได้ความยินดี การได้โสมนัสเช่นนี้ก่อนแต่นี้ได้ พระพุทธเจ้าข้า” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว เมื่อครั้งเกิดสงครามระหว่างเทพกับอสูรถึงขั้นรบประชิด ในสงครามนั้นพวกเทพชนะ พวกอสูรพ่ายแพ้ เมื่อข้าพระองค์ชนะสงครามจึงมีความคิดว่า ‘บัดนี้พวกเทพในเทวโลกจะบริโภคโอชารส ๒ ประการ คือ ทิพยโอชาและอสูรโอชา’ การได้ความยินดีการได้โสมนัสของข้าพระองค์นั้นเป็นทางมาแห่งทัณฑาวุธ เป็นทางมาแห่งศัสตราวุธ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อดับ ไม่เป็นไปเพื่อสงบระงับ ไม่เป็นไปเพื่อรู้ยิ่ง ไม่เป็นไปเพื่อตรัสรู้ ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน

ส่วนการได้ความยินดี การได้โสมนัสของข้าพระองค์ เพราะได้ฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น ไม่เป็นทางมาแห่งทัณฑาวุธ ไม่เป็นทางมาแห่งศัสตราวุธ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่งเพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน”

“จอมเทพ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงทรงประกาศการได้ความยินดี การได้โสมนัสเช่นนี้”

“ข้าพระองค์พิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์ ๖ ประการจึงได้ประกาศการได้ความยินดี การได้โสมนัสเช่นนี้

ประโยชน์ประการที่ ๑

               ‘เมื่อข้าพระองค์เกิดเป็นเทพดำรงอยู่ในที่นี้

                ข้าพระองค์กลับได้อายุเพิ่มขึ้นอีก

                ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์

               ขอพระองค์ทรงทราบอย่างนี้เถิด’

ประโยชน์ประการที่ ๒

                ‘เมื่อข้าพระองค์จุติจากกายทิพย์

                ละอายุของอมนุษย์ เป็นผู้ไม่หลง

                จะเข้าสู่ครรภ์ในตระกูลที่ข้าพระองค์มีใจยินดี’

ประโยชน์ประการที่ ๓

                ‘เมื่อข้าพระองค์นั้นยินดีในศาสนา

                ของพระผู้มีพระภาคผู้มีปัญญาไม่ลุ่มหลง

                ข้าพระองค์มีสัมปชัญญะ

                มีสติอยู่โดยชอบธรรม’

ประโยชน์ประการที่ ๔

                ‘เมื่อข้าพระองค์ประพฤติโดยชอบธรรมก็จักมีสัมโพธิ

                ข้าพระองค์จะรู้ทั่วถึง อยู่

                นั่นแหละจะเป็นที่สุดของข้าพระองค์’

ประโยชน์ประการที่ ๕

                ‘เมื่อข้าพระองค์จุติจากกายมนุษย์

                ละอายุของมนุษย์แล้ว จักเกิดเป็นเทพอีก

                ข้าพระองค์จะเป็นผู้สูงสุดในเทวโลก’

ประโยชน์ประการที่ ๖

                ‘เทพเหล่านั้นชั้นอกนิฏฐภพ

                เป็นผู้ประณีตกว่า เป็นผู้มียศ

                ในภพสุดท้ายที่ดำเนินไปอยู่

                อกนิฏฐภพนั้นจะเป็นที่อยู่ของข้าพระองค์’

ข้าพระองค์พิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์ ๖ ประการนี้ จึงประกาศการได้ ความยินดี การได้โสมนัสเช่นนี้

                           ข้าพระองค์มีความดำริยังไม่ถึงที่สุด

               มีความสงสัยเคลือบแคลง

               เที่ยวแสวงหาพระตถาคตอยู่สิ้นกาลนาน

               ข้าพระองค์เข้าไปหาสมณะ

               ที่เข้าใจว่าเป็นผู้อยู่เงียบสงบ

               สำคัญว่า ‘เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า’

                            ท่านเหล่านั้นเมื่อถูกถามว่า

               ความสำเร็จเป็นอย่างไร

               ความไม่สำเร็จเป็นอย่างไร

               ก็ไม่สามารถตอบในเรื่องมรรคและปฏิปทาได้

                            เมื่อท่านเหล่านั้นรู้ว่า

               ข้าพระองค์เป็นท้าวสักกะมาจากเทวโลก

               ก็พากันถามข้าพระองค์ว่า

               ‘ท่านทำกรรมอะไรจึงถึงฐานะนี้เล่า’

                            ข้าพระองค์จึงแสดงธรรมแก่ท่านเหล่านั้น

               ตามที่ได้ฟังมาในหมู่ชน

               ท่านเหล่านั้นมีใจยินดีด้วยเหตุเพียงเท่านั้นว่า

               พวกเราได้เห็นท้าววาสวะแล้ว

                            เมื่อข้าพระองค์นั้นได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

               ผู้ข้ามความสงสัยแล้ว

               ข้าพระองค์นั้นหมดความหวาดกลัว

               ในวันนี้ ได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

                            ข้าพระองค์ขอถวายอภิวาทพระพุทธเจ้า

               ผู้ทรงกำจัดลูกศรคือตัณหาได้

               ไม่มีบุคคลเปรียบเทียบได้ ทรงเป็นพระมหาวีระ

               ทรงเป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์

                            ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ข้าพระองค์กับพวกเทพ

               กระทำความนอบน้อมอันใดแก่พระพรหม

               ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพระองค์

               จักถวายความนอบน้อมอันนั้นแด่พระองค์

               ขอพระวโรกาสทำการนอบน้อมแด่พระองค์

               พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ตรัสรู้

               ทรงเป็นพระศาสดาที่ยอดเยี่ยม

               ไม่มีบุคคลใดทั้งในโลกและเทวโลก

               มาเปรียบเทียบกับพระองค์ได้

ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพรับสั่งเรียกปัญจสิขะ คันธรรพบุตรมาตรัสว่า “พ่อปัญจสิขะ เธอมีคุณมากแก่เรา ที่ทำให้พระผู้มีพระภาคทรงพอพระทัยก่อน เธอทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยก่อนแล้ว  พวกเราจึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะตั้งเธอไว้ในตำแหน่งของบิดาเธอจะเป็นเจ้าแห่งคนธรรพ์ เราจะยกนางภัททาสุริยวัจฉสาให้เธอ เพราะว่านางเป็นผู้ที่เธอปรารถนาอย่างยิ่ง”

ท้าวสักกะจอมเทพได้ธรรมจักษุ

ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพทรงใช้พระหัตถ์ตบปฐพี ทรงเปล่งอุทาน ๓ ครั้งว่า

“ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีคือกิเลสปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแก่ท้าวสักกะจอมเทพและแก่เทวดาอื่นอีก ๘๐,๐๐๐ องค์ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา”

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสูตร เล่มที่ ๒  ทีฆนิกาย มหาวรรค  เรื่องที่  ๘. สักกปัญหสูตร ว่าด้วยปัญหาของท้าวสักกะ  ข้อ ๓๔๔ – ๓๗๑

หมายเลขบันทึก: 677026เขียนเมื่อ 18 เมษายน 2020 22:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม 2020 23:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท