ประวัติการศึกษาไทย : การสอบไล่หนังสือไทยครั้งแรก และประกาศการเรียนหนังสือ (13)


    กักตัวอยู่กับบ้านตามสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด มีเวลาได้อ่านหนังสือหลายเล่ม 

“ประวัติการศึกษาไทย” ของอาจารย์พงศ์อินทร์ ศุขขจร อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูจันทรเกษม เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมได้อ่าน ซึ่งท่านเขียนเล่าเรื่องการศึกษาของไทยไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2512 ทำให้เข้าใจเรื่องการศึกษาบ้านเราได้มากขึ้น ผมเกรงว่าหนังสือเล่มนี้จะสูญหายไป ก็เลยนำข้อเขียนของท่านมาแบ่งปันกันอ่าน โดยเลือกเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆมานำเสนอ และแบ่งเป็นตอนๆไปครับ

    -------------------------------------

     เมื่อตอนตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในครั้งแรก มีหนังสือสำหรับเรียน มีครูมาสอนตามเวลา หลักสูตรก็ใช้หนังสือเรียน 6 เล่มเป็นหลัก ถ้าเรียนจบทั้ง 6 เล่ม ถือว่าสำเร็จการศึกษา เรียนกันไปเรื่อย ๆ บางคนเรียนไม่ทันจบ 6 เล่ม พออ่านออกเขียนได้คือจบสังโยคพิธาน ก็ลาออกไปทำงานเสียกลางคันเพราะตอนนั้นความต้องการคนไปทำราชการมีอยู่มาก และผู้ที่มาเข้าเรียนบางคนก็มีอายุมากขนาด 17 – 18 ปีก็มี เป็นเหตุให้ยากที่จะทราบว่ามีความรู้เพียงพอหรือไม่ สักแต่ว่าออกมาจากโรงเรียนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองความคิดเรื่องการสอบไล่ก็เกิดขึ้น เมื่อโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบตั้งขึ้นแล้ว พระยาศรีสุนทรโวหารและ

พระยาโอวาทวรกิจซึ่งขณะนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงและเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนนั้น เห็นพ้องต้องกันว่าการที่จะหาคนที่มีความรู้พอสมควรไปรับราชการ ควรจะต้องให้เรียนหนังสือไปจนจบตามหลักสูตร ไม่ใช่เรียนเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างที่เป็นอยู่ และเมื่อเรียนจบแล้วจะต้องมีการสอบไล่หนังสือ หรือสอบไล่ ว่ารู้จริงหรือไม่ แบบการสอบไล่พระปริยัติธรรมที่กระทำอยู่แล้ว เมื่อสอบได้แล้วจึงเรียกว่ารู้จริงทางราชการจะได้คนที่มีความรู้ไปรับราชการ เมื่อได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วย จึงโปรดให้คิดแบบสอบไล่หนังสือไทยเมื่อ พ.ศ. 2427 และทรงตั้งคณะกรรมการสอบไล่ขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วย พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระสมมตอมรพันธุ์) พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ พระยาภาสกวงศ์ (พร บุนนาค) และพระยาศรีสุนทรโวหาร

คณะกรรมการสอบไล่ดำเนินการสอบไล่นักเรียนโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบเป็นครั้งแรกเมื่อปลายปีพ.ศ. 2427 โดยสอบตามหนังสือมูลบทบรรพกิจเรื่อยไปจนจบหนังสือพิศาลการันต์ ผู้ใดสอบได้ก็ออกประกาศนียบัตรรับรองว่าเป็นผู้ที่สอบไล่ใด้เป็นเกียรติยศ เมื่อเสร็จสิ้นการสอบไล่หนังสือไทยครั้งแรกพระบาทสมเด็จพระพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปเป็นประธานในการแจกรางวัลแก่ผู้สอบไล่ได้ด้วยพระองค์เอง

เมื่อมีการสอบไล่ขึ้นแล้ว โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบได้ขยายหลักสูตรการเรียนให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง เพราะเท่าที่วางหลักสูตรไว้ในครั้งแรก เป็นเพียงขั้นความรู้อ่านออกเขียนได้เท่านั้น เมื่อออกรับราชการแล้วยังต้องไปเรียนรู้เอาในเวลาราชการอีก หลักสูตรที่ขยายขึ้นเป็นวิชาที่เตรียมไว้สำหรับการเป็นเสมียนทั่วไปนั่นเองเรียกว่าเป็นชั้นประโยค 2 ความรู้ขั้นที่เรียนอยู่แต่เดิมเรียกว่าประโยค 1 ความรู้สำหรับการเป็นเสมียน ได้แก่วิชาที่เกี่ยวกับคัด เขียน เรียงความ และย่อความ เป็นต้น ดังปรากฏรายละเอียดประกาศการเรียนหนังสือต่อไปนี้

“มีพระบรมมาราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศแก่พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยแลพ่อค้าราษฎรทั้งปวงทั่วกัน ด้วยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำริเห็นว่า วิชาหนังสือเป็นต้นเค้าคุณความเจริญของราชการบ้านเมืองยิ่งกว่าศิลปศาสตร์วิชาการต่าง ๆ ทั้งสิ้น ถ้าผู้ใดเล่าเรียนรู้ถ่องแท้จริงถึงแม้ว่าจะเป็นคนตระกูลต่ำอย่างใด ก็สมควรที่จะทรงพระกรุณาชุบเกล้า ฯ เลี้ยงให้ได้มียศศักดิ์รับราชการบ้านเมือง สนองพระเดชพระคุณตามคุณานุรูปถ้วนกัน ทุกวันนี้ผู้ที่เล่าเรียนวิชาหนังสือไทยก็มีเป็นอันมากแต่บางคนเรียนรู้จบตำราเรียนบ้าง ที่เรียนได้แค่ครึ่งหนึ่งค่อนหนึ่งแล้วเลิกเรียนเสียก็มีเป็นอันมาก เพราะไม่มีกำหนดอันใดเป็นสิ่งสังเกตที่จะรับประกันว่าผู้ใดรู้ถ่องแท้จริง และผู้ใดไม่รู้จริง จึงยังเป็นความขัดขวางแก่พระประสงค์ซึ่งจะทรงชุบเกล้า ฯ เลี้ยงและพระราชทานคุณความดีแก่ผู้เล่าเรียนอยู่ เพราะเหตุฉะนี้ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งแบบหลวงสำหรับสอบไล่วิชาหนังสือไทยนักเรียนทั้งปวง จะโปรดเกล้า ฯ ให้มีข้าหลวงเป็นพนักงานไล่หนังสือปีละครั้งหนึ่งเสมอไป ถ้านักเรียนคนใดมีความรู้ไล่ได้ตลอดวิชาโดยกำหนดไว้เพียงชั้นใด ก็จะโปรดเกล้า ฯ พระราชทานให้ได้คุณวิเศษโดยควรแก่ผู้มีความรู้ในวิชานั้นถ้วนทั่วกัน

กำหนดวิชาที่จะไล่นั้น ขั้นประโยคต้นจะสอบวิชาตลอดแบบเรียนหลวงทั้งหกเรื่องคือ ตั้งแต่มูลบทบรรพกิจจนจบพิศาลการันต์ ถ้าผู้ใดไล่ได้ตลอด ก็จะได้หนังสือสำหรับตัวใบหนึ่ง ลงชื่อข้าหลวงพร้อมกับรับรองว่าผู้นั้นเป็นคนมีความรู้จริง ได้สอบซ้อมวิชาในที่ประชุมข้าหลวง แล้วหนังสือฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าของ ในเมื่อเวลาจะไปทำงานที่ใด ๆ จะได้ถือเป็นประกันสำหรับตัว ถ้าผู้นั้นอยากจะใคร่เล่าเรียนเพื่อจะได้คุณวิเศษในวิชาชั้นสูงต่อขึ้นไป ก็จะเข้าเรียนในโรงเรียนหลวง สำหรับวิชาชั้นสูงได้ตามพระราชบัญญัติสำหรับโรงเรียน วิชาที่จะไล่ชั้นประโยคสองนั้นแปดอย่าง คือ ลายมือหวัดและบรรจงอย่าง1 เขียนหนังสือใช้ตัววางวรรคตอนถูกตามใจความ ไม่ต้องดูแบบอย่าง 1 ทานหนังสือที่คัดผิดจากลายมือหวัดอย่าง 1 คัดสำเนาความและย่อความอย่าง 1 แต่งจดหมายอย่าง 1 แต่งแก้กระทู้ความร้อยแก้วอย่าง 1วิชาเลขอย่าง 1 ทำบัญชีอย่าง 1 ผู้ใดมีความรู้สอบไล่ตลอดวิชาทั้งแปดอย่างเป็นชั้นประโยคสองนี้ ถ้าเป็นไพร่หลวงหรือไพร่สมกรมใด ๆ ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ขาดจากสังกัดเดิม ได้หนังสือพิมพ์คุ้มสักตลอดชีวิต ถ้าเป็นผู้จะรับราชการฉลองพระเดชพระคุณ ก็จะทรงพระกรุณาชุบเกล้า ฯ เลี้ยงตามสมควรแก่คุณานุรูปถ้วนทุกคน ถ้าไม่สมัครจะรับราชการ จะไปทำการที่ใด ๆ ก็จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ไม่ขัดขวาง กำหนดจะได้ไล่หนังสือตั้งแต่ปีจออัฐศกนี้ต่อไป ถ้าผู้ใดจะใคร่ทราบความและวิธีแบบสำหรับไล่หนังสือโดยละเอียดก็ให้ไปถามที่ออฟฟิศเจ้าพนักงานจัดการโรงเรียนหรือตามโรงเรียนหลวงแห่งใดแห่งหนึ่งนั้นเถิด

ประกาศมา ณ วันศุกร์ เดือนสาม ขึ้นสองค่ำ ปีระกา สัปตศก จุลศักราช 1247 พ.ศ. 2428 เป็นวันที่ 6296 ในรัชกาลปรัตยุบัน”

ฉะนั้นพอจะสรุปได้ในตอนนี้ว่า การจัดชั้นการศึกษาในชั้นต้นนี้ มีอยู่ 2 ระดับด้วยกัน ระดับต่ำเรียกว่าประโยค 1 ระดับสูงเรียกว่าประโยค 2 (ส่วนการศึกษาทางพระศาสนาแบ่งเป็น 9 ประโยค)ประโยค 1 แบ่งนักเรียนออกเป็น 6 ชั้นตามชื่อแบบเรียนที่ใช้เรียนเป็นบรรทัดฐาน คือ 1.นักเรียนมูลบท

2.นักเรียนวาหนิติ์ 3.นักเรียนอักษรประโยค 4.นักเรียนสังโยค 5.นักเรียนไวพจน์ 6.นักเรียนการันต์

นอกจากนี้ยังมีนักเรียนอีกประเภทหนึ่งเรียนจบ 6 เล่มแล้ว เรียกว่านักเรียนจบการันต์ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงบันทึกไว้ว่า “นักเรียนประโยค 1 เรียกชื่อจำแนกชั้นตามหนังสือที่เรียน คือนักเรียนมูลบท นักเรียนวาหนิติ์ นักเรียนอักษรประโยค นักเรียนสังโยค นักเรียนไวพจน์ และนักเรียนการันต์ กับมีนักเรียน “จบการันต์” อีกพวกหนึ่ง พวกหลังนี้เป็นคนมีเกียรติซึ่งเรารุ่นเล็กนับถือยำเกรงกันมาก...”

นักเรียนทั้งหมดนี้แบ่งออกเป็น 4 ชั้นเรียน คือชั้นมูลบท 3 ชั้น ชั้นวาหนิติ์ 1 ชั้น ชั้นอักษรประโยค 1 ชั้น ชั้น 4 สอนสังโยค ไวพจน์ และการันต์รวมอยู่ห้องเดียวกัน

ประโยค 2 เป็นพวกที่สำเร็จประโยค 1 มีความรู้หนังสือไทยอ่านออกเขียนได้แตกฉานดีแล้ว มีวิชาเรียน 8 วิชา คือ 1. คัดลายมือ 2. เขียนตามคำบอก 3. ทานหนังสือ 4. แต่งจดหมาย 5. แต่งแก้กระทู้ความ 6. ย่อความ 7. เลข และ 8. บัญชี

เมื่อจัดแบบแผนการศึกษาเข้ารูปเรียบร้อยพอสมควรแล้วก็มีการสอบไล่ประโยค 2 ขึ้นในพ.ศ. 2429 มีนักเรียนสอบประโยค 2 ไปรุ่นแรก 3 คน คือหม่อมราชวงศ์สำเริง อิศรศักดิ์ (พระยาพจนปรีชา)หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล (เจ้าพระยาพระสมเด็จสุเรนทราธิบดี) ซึ่งเข้าสอบได้ทั้งประโยค 1 และประโยค 2 ในปีเดียวกัน และหม่อมราชวงศ์ฉะอ้อน อิศรศักดิ์ (หลวงศุภศิลป์ประสิทธิ์)

หมายเลขบันทึก: 677022เขียนเมื่อ 18 เมษายน 2020 16:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน 2020 16:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท