การเอาชนะใจคน


การชนะใจคน

เนื้อหาสาระของ“ การชนะใจคน ” ผมได้ความรู้ความคิดจากแนวคิดของเดล คาร์เนกี ซึ่งเป็นนักพูดที่เก่งพูดแนวจูงใจคน แต่เราจะคัดลอกมาใช้ยากมากเพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของประสบการณ์ทั้งความรู้  ทั้งทักษะที่รวมผสมผสานหลายอย่างมากแต่สิ่งที่ได้เห็นวิธีการคือเขาจะคิดแบบเชิงบวกมาก  เขามีความคิดหลายอย่างที่น่าสนใจ  8 เรื่องกลัวจะยาวไปเลย

จะเขียนทีละเรื่อง ดังนี้

1.    หมั่นชมความดีของผู้อื่นและตำหนิสิ่งที่ไม่ดีของตัวเอง

          ผมได้ไปอ่านข้อความที่เขาเขียนว่า วิธีชนะมิตรผมก็ถามเขาว่า  อ้าวทำไมต้องไปชนะมิตรด้วยละเขาก็บอกว่าเป็นวิธีที่ชนะทุกสิ่งทุกอย่างให้มาเป็นมิตรกับเราทั้งหมดแม้แต่คนที่ไม่เป็นมิตรก็พยายามทำให้มาเป็นมิตรกับเราทั้งหมดและเป็นการจูงใจคนที่จริงแล้วผมก็เรียนเรื่องจูงใจคนมาตั้งแต่สมัยที่เรียนปริญญาตรี ปริญญาโทแต่ตรงนี้เขาน่าจะเกิดจากประสบการณ์จริงๆ  จากที่เขาทำจริงทำให้เขาได้ข้อมูลรายละเอียดอะไรต่างๆที่เป็นเกล็ดปลีกย่อย  เขายกตัวอย่างว่าในร้อยคนจะไม่มีใครที่จะตำหนิตัวเอง  แม้ตัวเองจะทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ดีมีผลร้ายขนาดไหนก็ไม่เคยตำหนิตัวเอง แต่ผมก็เคยตำหนิตัวเองเหมือนกัน  เวลาที่ทำไม่ได้อย่างที่เราอยากจะทำ  ผมจำได้ว่าเคยขับรถไปชนคนอื่นแล้วถึงขั้นร้องไห้เลย เพราะในตอนนั้นสถานะของตัวเองก็ไม่ค่อยจะมีเงิน  เรียกว่ายากจนเลย  เราขับรถไปชนเขาเราต้องเสียเงินให้เขาสามพัน  ผมรู้สึกเจ็บใจตัวเองมาก  เราก็โทษตัวเองว่าทำไมเราถึงไม่ระมัดระวังเพียงพอเราถึงได้ทำผิดพลาด แต่ผมก็ถือว่าการคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่ดี  จากที่เขาบอกว่าการที่เราทำผิดพลาดร้อยครั้งแล้วไม่เคยตำหนิติเตียนตัวเอง แสดงว่าทั้งหมดร้อยครั้งนี้เรามัวแต่ไปตำหนิติเตียนคนอื่นผมฟังตรงนี้แล้วผมนึกถึงท่านพุทธทาสเลย เพราะว่าเดล คาร์เนกีเขาใช้หลักคิดแบบท่านพระพุทธทาสทั้งๆที่อยู่คนละยุคสมัยและไม่ใช่คนในชาติเดียวกัน  ท่านพระพุทธทาสสอนไว้ว่า  เวลามองนอกกายให้มองสิ่งที่ดีๆ แต่เวลามองในกายตัวเองให้มองสิ่งที่ไม่ดี  มันคือหลักเดียวกันเลย  ถ้าหากเราหลอกตัวเองว่าฉันดีอย่างนั้น  ฉันดีอย่างนี้  มีแต่ยกยอแต่ตัวเองก็ทำให้เหลิงและทำให้เกิดแต่ความเห็นแก่ตัวเกิดความอัตตาที่จะมองคนอื่นว่าไม่ดีตังเองดี  เขาบอกว่าถึงแม้คนอื่นเขาจะดีนิดเดียวก็ต้องชมเขาว่าดีเรามักจะปากหนักไม่ชมคน เรื่องแบบนี้เราต้องฝึกฝนปากเบาให้ชมคนผมเคยรับลูกน้องเข้ามาทำงานด้วยคนหนึ่ง ซึ่งคนในที่ทำงานตอนนั้นเขาไม่เอาคนนี้เลยเพราะคนนี้เหลือความดีน้อยเต็มทน แต่ผมก็ทนใช้ความดีของเขาที่มีน้อย  ใช้งานเขาไปสนับสนุนให้กำลังใจเขา แล้วก็ให้กำลังใจสามีเขารวมไปถึงให้กำลังใจลูกเขาด้วย สนับสนุนเขาไปเรื่อยๆจนเป็นแรงบันดาลใจให้เขาทั้งครอบครัวก้าวหน้า  เดี๋ยวนี้ลูกคนโตจบปริญญาโทมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ส่วนลูกคนที่สองเรียนอยู่ที่วิศวะลาดกระบัง เวลาเจอผมที่ไรก็จะวิ่งเข้ามากอดผมทุกครั้งเลยเพราะว่าเขาเคยได้กำลังใจจากผมซึ่งแต่ก่อนเขาก็ไม่ค่อยจะมีกำลังใจเท่าไหร่ผมจึงถือว่าการให้กำลังใจคนเป็นสิ่งที่ดีและสำคัญ คนในสังคมมักจะตำหนิแต่คนอื่นซึ่งเป็นความรู้สึกที่ปวดร้าวและเป็นการทำลายความรู้สึกที่ดีๆของคนๆ นั้นไปเลยกับเรา เราจะต้องนึกถึงอยู่เสมอว่าอย่าอคติแล้วถ้าเรายังอคติยังชื่นชมแต่ตัวเอง เราก็จะกลายเป็นผู้ที่หยิ่งยโสและเป็นผู้ที่มีทิฐิมานะหรือพูดง่ายๆ ว่าดื้อแพ่ง ใครพูดอะไรก็ไม่เชื่อฟัง

          นอกจากนี้มีข้อคิดที่เขาเขียนเอาไว้ว่า จะไม่กล่าวร้ายต่อผู้ใด จะกล่าวเฉพาะแต่ความดีที่เรารู้ของทุกคน และจะพยายามที่จะยินดีและให้อภัยคน  หาความจริงว่าทำไมเขาถึงได้ทำไปอย่างนั้นแล้วก็จะให้อภัยทุกสิ่งทุกอย่าง  และคำสุดท้ายที่เขาเขียนเอาไว้ว่าทำไมเราจึงด่วนตัดสินใจผู้อื่นเร็วจนเกินไป ในบางครั้งที่เราแค่เห็นหน้าคนอื่นหรือแค่เขาเอ่ยปากนิดเดียวเราก็คิดไปว่าคนคนนี้ไม่ดีแล้ว หลายครั้งเราเห็นหน้าคนก็กลับไม่ชอบเขาเสียแล้ว  เรียกว่าดูแต่เปลือกเขา ไม่ได้ดูเข้าไปข้างใน

หมายเลขบันทึก: 676042เขียนเมื่อ 12 มีนาคม 2020 19:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มีนาคม 2020 19:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท