หลังจากได้ฟังท่านพระครูฯ เล่าเรื่องโรงเรียนศรีแสงธรรม ในงาน TEP Forum 2 (1, 2, 3) ผมบอกคุณเปา ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล ว่าขอให้จัดเวลาไปกราบท่านถึงโรงเรียน เพื่อเรียนรู้กิจกรรมโรงเรียนศรีแสงธรรม ที่เป็นโรงเรียนที่นักเรียนเรียนเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม แต่ในบันทึกทั้งสามนั้น ผมกลับไม่ได้บันทึกเรื่องของท่านพระครูไว้ นสพ. โพสต์ทูเดย์ได้ลงเรื่องของท่านไว้ที่ (4)
ได้วันเดินทางวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เดิมกำหนดไปกัน ๙ คน แต่คุณเปาเกิดป่วยกระทันหัน จึงเหลือ ๘ คน กำลังเหมาะต่อการเดินทางด้วยรถตู้ เพราะวัดอยู่ห่างสนามบินอุบลราชธานี ๘๐ กิโลเมตร เดินทางชั่วโมงครึ่ง คืออยู่ที่อำเภอโขงเจียม
เมื่อลงจากเครื่องบินเวลา ๘.๔๐ น. ก่อนออกเดินทาง เราไปกินอาหารเช้าในเมืองอุบลที่ร้านครัวเช้าที่แสนอร่อย กว่าจะออกจากร้านก็เลย ๙.๓๐ น. เราจึงไปถึงโรงเรียนเลย ๑๑ น. ระหว่างเดินทาง ทีมงานโทรศัพท์ไปกราบเรียนท่านว่าเราจะไปถึงหลัง ๑๑ น. ขอให้ท่านฉันเพลก่อน เมื่อไปถึงท่านบอกว่าท่านฉันมื้อเดียว ช่วยประหยัดเวลาได้มาก
เราฟังและถามท่านอยู่ ๒ ชั่วโมงเต็ม ในสภาพลืมหิว นี่คือโรงเรียนที่ทั้งนักเรียนและครูเรียนจากการปฏิบัติ โดยมีฐานของหลักสูตรอยู่ที่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผ่านการอนุรักษ์พลังงาน และการเกษตร ผมตั้งชื่อว่า Environment-Based Curriculum ท่านบอกว่าเป็น โรงเรียนนวัตกร ท่านบอกว่าต่อไปจะออกแบบหลักสูตรนวัตกร เพื่อความเป็นโรงเรียนแห่งนวัตกรรม และประธานบอร์ด พสวท. มาเยี่ยมชมและบอกว่า เป็นโรงเรียน STEM โดยธรรมชาติ
โรงเรียนศรีแสงธรรม เป็นโรงเรียนที่ดำเนินการจัดการเรียนรู้ด้วย “หลักสูตรแกนกู” แนว Environment-Based Curriculum แตกออกเป็นเรื่องพลังงานธรรมชาติ กับการเกษตร ขากลับผมบอกคุณติ๋มว่า ต้องไปอีกครั้ง เพื่อไปสังเกตการณ์ในห้องเรียน แต่ช่วงก่อนเดินทางกลับ เราไปยืนหน้าห้องสมุดที่ครูกำลังสอนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ ได้ยินเสียงนักเรียนตอบคำถามครูเสียงดังสนุกสนาน ก็พอจะเดาได้ว่าโรงเรียนนี้จัดการเรียนรู้แนวการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ หรือ active learning ไม่สอนแบบถ่ายทอดความรู้ หรือ passive learning ตรงตามที่ท่านพระครูบอก
ท่านพระครูบอกว่า ครูทุกคนต้องเขียนรายงานการสอนทุกชั่วโมงผ่าน FaceBook ผมตีความว่า เป็นการกำหนดให้ครูต้องทำ reflection การสอนของตนสั้นๆ ทุกชั่วโมง
จากพื้นความรู้แค่ ม. ๕ การเรียนรู้ตลอดชีวิตของท่าน ผ่านการตั้งคำถาม และหาทางตอบคำถามด้วยการอ่าน และการสังเกต ตามด้วยการครุ่นคิด นำพาชีวิตท่านให้ทำงานสร้างสรรค์สังคมได้ถึงเพียงนี้
ท่านยึดหลักจัดการเรียนรู้ให้แก่เด็กด้วยสิ่งที่มีอยู่ในพื้นที่ และสิ่งที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์คือแดด จึงออกแบบการเรียนรู้เรื่องเซลล์แสงอาทิตย์ จนเวลานี้โรงเรียนศรีแสงธรรมเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ โดย “ช่าง” ติดตั้งคือนักเรียน นักเรียนโรงเรียนนวัตกร
โดยที่นักเรียนเรียนทำความเข้าใจตั้งแต่เรื่องแสง พลังงาน การเปลี่ยนพลังงานแสงไปเป็นพลังงานไฟฟ้า กฎทางฟิสิกส์ต่างๆ เรื่องแผงวงจร ฯลฯ เรียนคำนวณปริมาณพลังงานแสงแดดบนพื้นที่หนึ่ง และคำนวณปริมาณไฟฟ้าที่ได้จากเซลล์แสงอาทิตย์ ผมเดาว่าเมื่อเด็กมีเป้าหมายเรียนเพื่อเอาแดดมาป็นพลังงานไฟฟ้า ทำให้เป็นการเรียนที่มีจุดมุ่งหมายเป็นรูปธรรมชัดเจน เห็นประโยชน์กับตา ว่าจากแสงแดดเอามาใช้ปั่นพัดลมได้ ขับเคลื่อนรถได้ การเรียนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์จึงน่าสนใจ
Project-Based Learning เน้นที่การเรียนรู้เรื่องหุ่นยนตร์ ทำให้เด็กได้เรียน algorithm, logic, coding, โดยเรียนอย่างมีแรงจูงใจ
Problem-Based Learning เน้นที่ปัญหาท้องถิ่น ปัญหาสังคมโดยรอบโรงเรียน
ท่านเล่าว่า เมื่อตั้งโรงเรียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ก็ประกาศรับสมัครครู ได้วิศวกรมาเป็นครู ๓ คน และยังอยู่จนปัจจุบัน ทำให้ผมเกิดความคิดว่าระบบการศึกษาไทยเดินทางผิดในเรื่องครู ยิ่งในยุคศตวรรษที่ ๒๑ ยิ่งผิด เพราะครูเรียนวิชาครูที่เน้นเทคนิคการสอน เอาความรู้สำเร็จรูปมาให้เด็กจดจำและตอบข้อสอบ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ตื้นและไม่เชื่อมโยง ที่ร้ายหนักคือ ทำให้ชุมชนในโรงเรียนประกอบด้วยครูที่เรียนมาเหมือนๆ กัน คิดในแนวเดียวกัน ไม่เหมาะต่อการเรียนรู้ของเด็กในสมัยนี้ ที่ต้องการการเรียนรู้จากการลงมือทำ (learning by doing) ตามด้วยการคิด (reflection) ซึ่งต้องฝึกคิดหลายๆ แบบ
ผมจึงเกิดความคิดว่า โรงเรียนที่ดีในสมัยนี้ควรมีครูที่เรียนมาหลากหลายสาขา มาเติมความรู้วิชาครูภายหลัง จะจัดการเรียนรู้จากการปฏิบัติในสถานการณ์จริงได้อย่างมีพลัง ดังที่ผมเห็นตัวอย่างที่โรงเรียนรุ่งอรุณและโรงเรียนเพลินพัฒนา ผมตั้งความหวังว่า ระบบการศึกษาไทย ที่รับผิดชอบโดยกระทรวงศึกษาธิการ จะเดินไปทางนี้ได้ อยากให้เปลี่ยนทันผมเห็นก่อนตาย
ผมเสียดายที่ลืมกราบเรียนถามท่านว่า ท่านจงใจประกาศรับสมัครวิศวกร และคนที่เรียนมาในสายอื่นที่ไม่ใช่ครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์หรือเปล่า
ท่านบอกว่าครูในโรงเรียนศรีแสงธรรมไม่มีวุฒิครู ผมเดาว่าคงจะเรียนมาหลากหลายสาขา ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะสมมากต่อการเป็น high functioning school ผลการเรียนรู้ของเด็กจึงพิสูจน์ได้ว่าคุณภาพสูง ท่านบอกว่าเด็กจบไป ๕ รุ่นแล้ว สอบเข้า ม. อุบลฯได้ทุกคน ปีนี้มีเด็กสอบเข้าเรียนสาขาเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยพะเยาได้ ท่านส่งเรียน จ่ายค่าเล่าเรียนเทอมละ ๒๘,๐๐๐ บาทให้ และให้ค่ากินอยู่เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท เด็กสอบเทอมแรกได้เกรด ๓.๘ ท่านภูมิใจมาก มีเด็ก ๒ คนได้รับทุนไปเรียน mechanic ที่เกาหลี ผลงานแบบ Project-Based Learning ของนักเรียน ได้รับรางวัลมากมาย นี่คือข้อพิสูจน์ว่าครูโรงเรียนนี้ทำงานได้ผลดี
โรงเรียนนี้สอนชั้น ม. ๑ ถึง ม. ๖ เรียนฟรี มีรถรับส่งถึงบ้าน (โรงเรียนมีรถ ๔ คัน) รับเฉพาะเด็กในพื้นที่ จึงเริ่มมีพ่อแม่ย้ายเข้ามาเพื่อให้มีสิทธิ์ รับชั้นละ ๒๕ คน ขณะนี้มีนักเรียน ๑๙๘ คน ครู ๑๖ คน คัดเลือกนักเรียนโดยสอบภาษาไทยกับคณิตศาสตร์ หากสอบภาษาไทยไม่ผ่านไม่ต้องสอบวิชาอื่น ท่านบอกว่ามีเด็กจำนวนมากที่เรียนจบ ป. ๖ อ่านหนังสือไม่ออก ท่านไม่รับ เพราะจะเรียนไม่ได้ เด็กและครูต้องถือศีล ๕ และในวันพระ เด็กจะนอนค้างที่วัดและถือศีล ๘ ทำวัตร ท่านบอกว่าเป็นกุศโลบายให้เด็กได้มีช่วงชีวิตที่ปราศจากโทรศัพท์มือถือและสิ่งเย้ายวนต่างๆ
เราไปเยี่ยมชมวัด ที่มีสภาพเป็นวัดป่า แต่มีไฟฟ้าพลังแสงแดดใช้
ท่านบอกว่าคุณภาพของโรงเรียนยังไม่เป็นที่พอใจ ยังต้องพัฒนาอีกมาก ผมเกิดความคิดว่ามูลนิธิสยามกัมมาจลน่าจะให้ความร่วมมือกับท่าน โดยสนับสนุนให้ครูของโรงเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการเพื่อนำไปพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียน รวมทั้งให้ทีมงานของมูลนิธิไปสังเกตชั้นเรียน และทำ reflection เพื่อการเรียนรู้ของครู ให้ครูเก่งด้านการทำ PLC เพื่อเรียนรู้จากการทำหน้าที่ครู รวมทั้งอาจไปจัด workshop พัฒนาครูเรื่องเทคนิคจัดการเรียนรู้อย่างที่ท่านอยากได้
การคุยกันอย่างกันเองทำให้เราได้เห็นความเป็นตัวของตัวเองของท่าน ไม่หลงหลวมตัวเข้าไปกับโครงการต่างๆ ที่มี “ผู้หวังดี” เอาเข้ามาให้โรงเรียนทำและเขียนรายงานเพื่อผลงานของตน ท่านบอกว่าท่านไม่เข้าร่วมเพราะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เพราะทำอยู่แล้ว
ผมกราบเรียนท่านว่า เรื่องราวการเรียนรู้ในชีวิตจริงของท่าน เป็น “การเรียนรู้ที่แท้” คือเรียนจากการปฏิบัติตามด้วยโยนิโสมนสิการ (reflection) ในขณะที่การเรียนในรูปแบบที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการอยู่ เป็น “การเรียนรู้เทียม” หรือเป็นการเรียนรู้ที่เดินผิดทาง ผมจึงเสนอให้ทีมงานของมูลนิธิสยามกัมมาจลไปถอดความรู้เรื่องวิธีเรียนรู้ตลอดชีวิตของท่านออกเผยแพร่ เพื่อเขย่าระบบการศึกษา โดยทำเป็นคลิปออกเผยแพร่ทาง อินเทอร์เน็ต เป็นตอนๆ
กลับมาที่บ้านผมเกิดคำถามว่า ท่านคิดอย่างไรจึงไม่ให้เด็กผู้ชายบวชเณรเพื่อเรียน ผมเดาว่าท่านคงต้องการให้โรงเรียนเป็นโรงเรียนสหศึกษา เป็นสังคมฆราวาสตามธรรมชาติ ให้เด็กยังอยู่กับพ่อแม่ตามปกติ และผมเกิดคำถามว่า โรงเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนโดยรอบอย่างไร
วิจารณ์ พานิช
๓๐ พ.ย. ๖๒
1 ท่านพระครูวิมลปัญญาคุณ ระหว่างเล่าเรื่องของโรงเรียน
2 ถ่ายขณะท่านบรรยาย
3 คณะที่ไปกราบขอความรู้
4 ทำบุญแบบมีมูลต่าเพิ่ม ตลอด ๒๕ ปี
5 จัดการศึกษาแบบมีอาชีพ
6 รับติดตั้งโซล่าร์เซลล์
7 ปลูกป่าในใจคน
8 ปลูกป่าตามทฤษฎีมิยาวากิ
9 แปลงดอกแกลดิโอลัส
10 นักเรียนทำนา
11 บรรยากาศในโรงเรียน
12 บันทึกเยี่ยมโรงเรียน
13 หลักการของโรงเรียนศรีแสงธรรม
14 บริเวณวัด
เป็นโรงเรียนที่สุดยอดในการจัดการศึกษา ชื่นชมผู้นำพาคือพระอาจารย์ที่ไม่เคยย่อท้อต่อปัญหา สร้างสรรนักเรียน ชุมชนสิ่งแวดล้อม นับเป็นบุญที่มีโอกาสได้เรียนรู้ดูการกระทำ กระทรวงศึกษาธิการ หรือบริษัทที่ต้องการทำ CSR ควรสนับสนุนส่งเสริมเต็มที่ค่ะ
การกระทำ การลงมือทำ การปฏิบัติ ให้รู้ให้เห็น แบบจริงๆเด็กๆและคนทั่วไปที่มีโอกาสสมัครเข้ามาเรียนหรืออบรมกับพระอาจารย์ ย่อมรู้แจ้งเห็นจริง นำไปต่อยอดได้ ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ได้รับจากโรงเรียนกินแดดหรือโรงเรียนโคกอีโด่ยที่ท่านชอบบอกเสมอๆมานี้ เป็นความหวังเป็นความฝันที่จับต้องได้ อยากให้ระบบการศึกษาของไทย เอาหลักสูตรพิเศษของท่านเข้าไปจัดการเรียนการสอนให้แก่ลูกหลานไทย หรือตอนนี้ยังไม่ได้ขอให้มีการตอบรับต้องการร่วมเป็นเครือข่ายจากโรงเรียนของท่าน โดยการขอสมัครเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความต้องการของชุมชนหรือโรงเรียนต่างๆเอง ภาพฝันการขยายเครือข่ายแบบค่อยเป็นค่อยไป จะมีความยังยืนยาวนาน ขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ และท่านผู้เขียน เพราะมุมหนึ่งของประเทศไทยเรา มีแสงสว่างจุดประกายและขยายแสงสว่างออกไปเรื่อยๆแบบมั่นคงและยาวนานตลอดไป ???
การกระทำ การลงมือทำ การปฏิบัติ ให้รู้ให้เห็น แบบจริงๆเด็กๆและคนทั่วไปที่มีโอกาสสมัครเข้ามาเรียนหรืออบรมกับพระอาจารย์ ย่อมรู้แจ้งเห็นจริง นำไปต่อยอดได้ ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ได้รับจากโรงเรียนกินแดดหรือโรงเรียนโคกอีโด่ยที่ท่านชอบบอกเสมอๆมานี้ เป็นความหวังเป็นความฝันที่จับต้องได้ อยากให้ระบบการศึกษาของไทย เอาหลักสูตรพิเศษของท่านเข้าไปจัดการเรียนการสอนให้แก่ลูกหลานไทย หรือตอนนี้ยังไม่ได้ขอให้มีการตอบรับต้องการร่วมเป็นเครือข่ายจากโรงเรียนของท่าน โดยการขอสมัครเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความต้องการของชุมชนหรือโรงเรียนต่างๆเอง ภาพฝันการขยายเครือข่ายแบบค่อยเป็นค่อยไป จะมีความยังยืนยาวนาน ขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ และท่านผู้เขียน เพราะมุมหนึ่งของประเทศไทยเรา มีแสงสว่างจุดประกายและขยายแสงสว่างออกไปเรื่อยๆแบบมั่นคงและยาวนานตลอดไป ???