วิธีการหนึ่งที่ทำให้เราสามารถขจัดปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้น นั่นก็คือความคิดของตัวคุณเอง….ลองเปลี่ยนความคิดเชิงลบเป็นความคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการรับรู้ของตัวคุณเอง….ฝึกคิดใหม่ ทำใหม่…..ของแบบนี้อาจต้องใช้เวลา… แต่ ไม่นานเกินรอค่ะ
ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร เราอาจประสบปัญหากับภาวะความเครียดในการทำงาน (Job Stress) มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งอาการที่แสดงออกมานั้นก็จะแตกต่างกันไป เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ มือไม้สั่น เหงื่อออกเสมอ กินอาหารไม่ได้ ท้องอืด ท้องเสีย เป็นโรคกระเพาะ เป็นต้น บางคนถึงขนาดเรียกภาวะดังกล่าวว่า "โรคเครียด"
เราเคยค้นหาสาเหตุบ้างไหมว่าความเครียดนั้น…เกิดจากอะไร? สาเหตุหนึ่งก็คือ ความวิตกกังวล….. ซึ่งเป็นความคิดของเราเองในด้านลบที่เกิดขึ้น (Negative Thinking) ไม่ว่ากับตัวเราเอง คนรอบข้าง หรือปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ ตัวคุณ เช่น "ฉันทำงานนั้นไม่ได้", "ฉันไม่ดี", "ทุกอย่างที่เกิดขึ้นฉันผิดเอง", "ฉันมันไม่ฉลาด", "เพื่อนร่วมงานไม่เก่ง" เป็นต้น
ซึ่งความคิดด้านลบเหล่านั้นจะทำให้เราไม่มีพลังใจในการทำงาน เราจะรู้สึกหดหู่ หมดกำลังใจและสิ้นหวัง มีหลายวิธีที่สามารถลดความเครียดลงได้ บางคนหาเวลาไปออกกำลังกาย บางคนนั่งสมาธิ ฝึกโยคะ เต้นแอโรบิค หรือเล่นกีฬาสุดโปรด วิธีการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำให้คุณสามารถขจัดภาวะความเครียดได้บ้างไหม…. บางคนอาจทำได้ ….แต่บางคนอาจทำไม่ได้
วิธีการหนึ่งที่ทำให้เราสามารถขจัดปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้น นั่นก็คือความคิดของตัวคุณเอง….ลองเปลี่ยนความคิดเชิงลบเป็นความคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการรับรู้ของตัวคุณเอง….ฝึกคิดใหม่ ทำใหม่…..ของแบบนี้อาจต้องใช้เวลา… แต่ ไม่นานเกินรอค่ะ
การเปลี่ยนการรับรู้...เปลี่ยนความคิดจากด้านลบเป็นด้านบวกด้วย "หลัก 5 Yours" ดังนี้
1. ตัวคุณเอง (Yourself) ก่อนที่จะมองคนอื่น...ควรมองตัวคุณเองก่อน ความเคารพในตนเองเป็นการยอมรับในศักยภาพและความสามารถของตัวคุณ คุณทำได้ คุณดี ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น คุณควรจะฝึกพูดกับตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นการย้ำจิตของคุณอยู่ตลอดเวลา….เช่น I am good, I am better, I am best
2. หัวหน้างานของคุณ (Your Boss) หัวหน้างานอาจทำให้เกิดภาวะความเครียดได้ หัวหน้างานอาจพูดไม่ดีกับเรา ....ให้คิดเสียว่าหัวหน้างานอาจเจอปัญหาทางบ้าน มีเรื่องกับภรรยา/สามีที่บ้าน เป็นต้น ......อยากให้คิดเสมอว่าหัวหน้างานไม่ใช่เจ้าชีวิต …เราไม่อยู่กับเค้าตลอดเวลา...และสักวันหนึ่งหัวหน้างานอาจย้ายสถานที่ทำงานไป แล้วทำไมต้องเก็บเอาปัญหาของหัวหน้างานคุณมาเป็นอารมณ์ด้วย
3. เพื่อนร่วมงานของคุณ (Your Colleague) เพื่อนร่วมงานก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครียดได้ เช่น เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว ไม่ชอบทำงาน เอาแต่ประจบหัวหน้า ชอบนินทาผู้อื่น ชอบดูถูกในความสามารถของคนอื่น ชอบพูดจาให้ร้ายคนอื่นลับหลัง…. ถ้าแบบนี้อยากให้คิดเสมอว่า...เค้าไม่ใช่เพื่อนสนิทที่ต้องใส่ใจอะไรมากมาย…. เค้าเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งที่เราต้องทำงานร่วมด้วย…เท่านั้นเอง…. การเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ ดีเสียอีกชีวิตมีรสชาด มันแปลกดีนะ…คนแบบนี้ก็มีด้วย (คิดด้านบวกไว้นะคะ)
4. งานของคุณ (Your Job) ได้รับมอบหมายให้ทำงานง่ายจนเกินไป หรือ ยากและท้าทายเกินไป ...อาจไม่สามารถเลือกงานได้แต่เค้าสามารถเลือกที่จะรักงานที่ทำได้…… อย่ามัวแต่คิดว่าเราไม่ชอบ ไม่รักงานนั้น…. ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ให้คิดเสมอว่านั่นเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบ …จงทำให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ….ควรเอาเวลาไปนั่งคิดหาทางปรับปรุงการทำงานจะดีกว่า อย่าไปคิดว่า ฉันไม่ชอบ ฉันจะไม่ทำ เพราะมันจะทำให้เราไม่ใส่ใจที่จะคิดหาทางพัฒนางานของเราเลย
5. ผลตอบแทนของคุณ (Your Compensation) เราอาจได้รับเงินเดือนน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานทั้ง ๆ ที่ทำงานมากกว่าพวกเค้า ...อยากให้คุณมองที่สาเหตุก่อน..ว่าเป็นเพราะอะไร….. ถ้าเป็นเพราะผลจากการทำงานก็ควรพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ถ้าเป็นเพราะหัวหน้างานไม่ยุติธรรม ...มันคงแก้ไขยาก….แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง
….สักวันหนึ่งหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงานของคุณจะต้องเห็น..ถ้าไม่มีใครเห็นคุณก็เห็นตัวคุณเองและรู้ตัวเองเสมอว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ (คิดทางด้านบวกไว้นะคะ) ….
การทำงานมากกว่าที่ได้รับมอบหมายให้เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างคุณค่าให้กับตนเอง (Value Added) มันอาจไม่เห็นผล ณ ตอนนี้ แต่ในอนาคตไม่แน่ไม่มีใครบอกได้ และ รับประกันได้ว่า ณ ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าไล่คุณออกอย่างแน่นอนเพราะคุณสามารถทำงานได้มากมาย …ไม่ต้องกลัวตกงานเลย …"อย่าลืมว่ายุคสมัยนี้งานเลือกคน มากกว่าคนเลือกงาน"
ดังนั้น อย่ามัวแต่โทษตนเองหรือโทษผู้อื่น….เพราะนั่นเป็นความคิดด้านลบ
ลองเปลี่ยนมาคิดด้านบวกดู…โดยมองสิ่งต่าง ๆ ในทางที่ดีและไม่ควรเก็บปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด วิตกกังวล (มันผ่านมา เดี๋ยวมันก็ผ่านไป)…..ตัวคุณเองจะเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความเครียด…มิใช่ใครอื่น….
แก้ที่ความคิดของตัวคุณจะดีกว่า เพราะนั่นจะเป็นยารักษาโรคเครียดที่ดีที่สุดและได้ผลมากที่สุด
(ขอขอบคุณ คุณอาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์
[email protected] )