เครื่องมือ IT ส่วนใหญ่ จะมองเน้นเรื่อง (Information) คือเน้นการ
ถ่ายทอดข้อมูล และความรู้แบบชัดแจ้ง (explicit knowledge) เป็นหลัก
เทคโนโลยีที่ยากๆ เช่น data mining, natural language processing
ก็เป็นการทำงานกับ Information ทั้งนั้น ในขณะที่ความรู้ 90% ยัง
อยู่ในตัวคน เป็น tacit knowledge ที่เจ้าของรู้ แต่ไม่ได้แสดงออกมา
แล้วปกตินั้น "ความรู้แฝง" เหล่านี้ ถ่ายทอดกันอย่างไรเล่า?
ถ้าอิงตาม model SECI ของ Nanoka จะพบว่ากลไกหลักของ
การถ่ายทอด tacit->tacit ก็คือกระบวนการ socialization หรือ
การเข้าสังคมน่ะเอง เช่น การจะสอนการผิวปาก หรือขี่จักรยาน
ก็ต้องสาธิตให้เห็นด้วยตา แล้วให้คนเรียนได้ลองทำ ถ้ายังไม่ได้
ก็สาธิตให้ดูใหม่ และทดลองใหม่ แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทำเป็น
หันมามองในบริบทของบล็อกบ้าง ข้อความในบล็อกมีข้อจำกัดที่
ไม่สามารถสื่อความรู้ลึกๆ ออกมาได้หมด บางอย่างต้องอ่านแบบ
"ระหว่างบรรทัด" หรือตีความเอง (บางทีก็ตีความผิด) ข้อจำกัดตรงนี้
เป็นเรื่องของเทคโนโลยีปัจจุบัน ที่ทำให้การสื่อสารแบบ Blog2Blog
ยังไม่ได้รสชาติเทียบเท่ากับแบบ Face2Face คงต้องรอให้ระบบ
video conference แพร่หลายมากขึ้นก่อนกระมัง
ตอนนี้ สิ่งที่ใกล้เคียง Face2Face ที่สุด ก็คือ การใช้รูป ในบล็อก
ผมสังเกตความรู้สึกตัวเอง เวลาอ่านบล็อกที่มีรูปและไม่มีรูปแล้ว
จะต่างกันค่อนข้างมาก ผมเชื่อว่ารูปเป็นกลไกสำคัญกลไกหนึ่ง
ที่ช่วยถ่ายทอด tacit knowledge ได้ ผ่านทางภาพที่ rich
ในความหมาย และการใช้ diagram ในการสื่อเรื่องยากๆ ออกเป็นภาพได้
ยกตัวอย่างเช่น บันทึกเรื่อง มหาวิทยาลัยราชภัฏกับการจัดการความรู้
ถ้าไม่มีรูป ก็จะรู้สึกเป็นแค่ "ข่าว" ชิ้นหนึ่ง แต่พอมีรูปแล้วดูคึกคักขึ้นมาก
หรือการที่ผมเขียนอธิบายถึง Blog and Dialogue ที่มี diagram
ของกระบวนการ ทำให้บันทึกน่าอ่านขึ้นด้วย
ใครที่ยังไม่เคยหัดใส่รูปในบันทึก สามารถไปอ่านที่ อ.จันทวรรณ
สอนวิธีใส่รูป ได้ครับ