น.ส.ดาว เกษสิมมา และพวก เกิดในประเทศไทย เป็นบุตรของนางคำแพง เกษสิมมา บุคคลสัญชาติไทย และนายบัง มุ่ย คนญวนอพยพที่หนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทยซึ่งประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือโดยผ่อนผันให้อยู่ชั่วคราวในประเทศไทย แต่ยังคงมีสถานะเป็นคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย นางคำแพง เกษสิมมาและนายบัง มุ่ย เป็นสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส
การที่น.ส.ดาว และพวก เกิดในประเทศไทย น.ส.ดาว และพวกจึงได้รับสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนตามกฎหมายสัญชาติที่มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะที่เกิด
เมื่อมีการประกาศใช้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 ทำให้น.ส.ดาว และพวกต้องประสบปัญหาในการมีสัญชาติไทยโดยมีปัญหาว่าน.ส.ดาว และพวกเป็นบุคคลที่มีองค์ประกอบครบตามข้อ 1 ของปว.337 ที่จะต้องถูกถอนสัญชาติไทยหรือไม่
ด้วยเหตุดังกล่าวน.ส.ดาว และพวกจึงได้มายื่นคำร้องต่อศาลไทย เพื่อให้ศาลวินิจฉัยตัดสินถึงสถานะบุคคลของน.ส.ดาว และพวก โดยในการยื่นคำร้องผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้เข้ามาเป็นผู้คัดค้านด้วย คดีได้ทำกันในสามศาลโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “ผู้ร้องทั้ง 6 คนเป็นผู้มีสัญชาติไทย ยกคำร้องคัดค้าน”
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ข้อ 1 มีข้อความว่า “ให้ถอนสัญชาติไทยของบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาเป็นคนต่างด้าว หรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะเกิดบิดาหรือมารดาเป็น ฯลฯ” เห็นว่าคำว่า “บิดา” ที่ใช้ในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7,8,14,15,17,21 และ24 ซึ่งมีความหมายถึงบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายก็มิได้ระบุใช้ คำว่า “บิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย” ไว้แต่อย่างใด เว้นแต่กรณีใดประสงค์จะเน้นให้แตกต่างจากบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงจะบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งเช่นในมาตรา 18 ที่ระบุว่า มารดาเป็นคนต่างด้าวแต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นต้น ดังนั้น คำว่าบิดาเป็นคนต่างด้าว ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ข้อ 1 จึงหมายความถึง บิดาที่เป็นคนต่างด้าวจะต้องเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น มิใช่หมายถึงบิดาโดยมิชอบด้วยกฎหมายกรณีของผู้ร้องนี้จึงไม่อยู่ในบังคับถูกถอนสัญชาติไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”
คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว ได้ทำให้เห็นถึงทัศนคติของศาลไทยในการแก้ปัญหาอันเกิดจากการบัญญัติกฎหมายที่ไม่ชัดเจนโดยจะเห็นว่าศาลฎีกา ได้นำหลักตรรกวิทยามาใช้ในการตีความคำว่า “บิดา” ตามข้อ 1 ของประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ทำให้ปัญหาในการใช้กฎหมายในกรณีดังกล่าวยุติไปได้ และนอกจากนี้จะเห็นถึงทัศนคติของศาลในการวินิจฉัยตัดสินคดีสิ่งที่ศาลคำนึงอยู่เสมอคือความถูกต้องและความเป็นธรรม ศาลไม่ได้นำเอาความเป็นบุคคลที่มีเชื้อชาติต่างประเทศมาจำกัดในการให้ความยุติธรรมแก่บุคคลแต่อย่างใด
จากกรณีของน.ส.ดาว และพวกตามคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาในการมีสถานะบุคคลที่เกิดขึ้น กล่าวคือแม้จะมีกฎหมายรับรองสิทธิในการมีสัญชาติไทยของน.ส.ดาวไว้แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากกฎหมายที่ใช้บังคับขาดความชัดเจน จึงทำให้น.ส.ดาวและพวกต้องประสบกับปัญหาในการมีสถานะบุคคลทั้งๆ ที่มีสิทธิอันชอบธรรมอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อน.ส.ดาวและพวก ได้รับความยุติธรรมจากศาลไทยจึงทำให้ปัจจุบันน.ส.ดาว และพวก มีสถานะเป็นบุคคลสัญชาติไทยตามสิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมาย และจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ในกรณีของนายบัง มุ่ย บิดาของน.ส.ดาว และพวก ในขณะฟ้องคดีนายบัง มุ่ย มีสถานะบุคคลเป็นคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและได้รับการผ่อนผันให้อยู่ชั่วคราวในประเทศไทย ปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยได้มีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2540 ให้สถานะบุคคลแก่คนญวนอพยพรุ่นบิดามารดาเป็นคนเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีสิทธิอาศัยอยู่ถาวรในประเทศไทยแล้ว ดังนั้นปัจจุบันนายบัง มุ่ย จึงได้รับสถานะเป็นบุคคลเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิอาศัยอยู่ถาวรในประเทศไทยแล้ว
บังมุ่ยอาจจะแปลงสัญชาติแล้วก็ได้ค่ะ