ผมเพิ่งเคยได้ยินคำว่าคนชายขอบเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ก่อนได้ยินแต่คำว่าคนด้อยโอกาส แต่ผมก็ชอบคำใหม่นี้มากกว่า มันสะท้อนภาพที่ชัดเจนกว่าเดิม
เมื่อได้ยินคำนี้ เดิม ผมก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรมาก ก็เป็นอีกกลุ่มคนที่ต้องเผชิญปัญหาตามผลทั้งการกระทำของตนเองและผู้อื่น
จนมาเมื่อไม่นานมานี้ ผมก็เจอเข้ากับตัวเองอย่างตรงๆ
เมื่อสมัยเริ่มโครงการมหาชีวาลัย และ ดร. จันทวรรณมาแนะนำในการประชุมที่ กทม.
ผมเข้าร่วมประชุมด้วย และยอมรับว่า ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับเรื่องนี้ เพราะได้ยินเรื่องเวบต่างๆ มาจนเบื่อ ไม่เคยเห็นได้ประโยชน์อะไรนักหนา
พอรู้สึกเช่นนั้น ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะเราก็ทำ KM ที่ไม่ต้องเกี่ยวกับ internet เท่าไหร่ เพราะเป็นการค้นหาข้อมูลแบบ ธรรมดา ๆ ก็ได้อยู่แล้ว
แต่พอ สคส มาเน้นใช้ blog เป็นตัวประเมิน ติดตามผลการทำงาน
ผมกลายเป็นคนชายขอบขึ้นมาทันที
วิ่งหนีเท่าไหร่ก็เกือบเอาตัวไม่รอด ถามคุณอ้อมเป็นชั่วโมงๆ คุยกับคุณอุทัยที่ ม. อุบล ไม่รู้กี่ ชั่วโมงก็ยังหนีจากชายขอบไม่ได้
รูปก็ใส่ไม่เป็น text ก็จัดไม่เป็น จัดสีก็ทำไม่เป็น ดิ้นแทบไม่รอด ก็ได้มาอย่างที่เห็นข้างๆนี่แหละ แต่งหน้า blog แทบไม่ต้องพูด
เห็นคนอื่นทำได้ก็อยากทัดเทียมบ้าง
บอกตรงๆ ไม่อยากเป็นคนชายขอบเลย มันอึดอัดจริงๆ
ช่วยประเมินและแนะนำให้ผมหน่อยนะท่านผู้ทรงภูมิปัญญาทั้งหลาย
กว่าจะได้เท่าที่เห็นนี้ก็ บอกได้ว่า หืดขึ้นคอ เลยครับ
เมื่อผมเจอกับตัวเอง หนักๆตรงๆ (อีกครั้งหนึ่ง) ทำให้นึกถึงในสังคมจริงๆ ว่าทำไม ทำไม และ ทำไม จึงยังมีคนชายขอบแบบผม อยู่อีกมาก
ผมเป็นคนชายขอบจากการที่ สคส พัฒนาใช้ blog เป็นตัวทำงาน และจากการที่ผมสบประมาทศักยภาพ blog ของ สคส (อันนี้ผมยอมรับโดยดุษฎีครับ)
และ ต้องมาบีบเค้นตัวเองให้ต้องวิ่งตามคนอื่นแบบหืดขึ้นคอแบบนี้
ใช้เวลาเป็นเดือนก็ยังตามไม่ค่อยทัน
ทีนี้ ผมขอกลับไปคุยเรื่องคนชายขอบตัวจริงของสังคมสักหน่อย
เขาเผชิญชตากรรม ในลักษณะเดียวกันกับผม แต่คงหนักกว่ามาก
เขามีคนหนุนช่วยไหม เขามีกำลังดิ้นไหม หรือถ้าดิ้นจะรอดไหม เราจะช่วยให้เขาช่วยตัวเองได้อย่างไร หรือประเทศจะมีนโยบายอะไรที่จะทำให้เขาทัดเทียมกับคนอื่นบ้าง
ผมไม่อยากพูดว่าในอดีต ผมก็เป็นคนชายขอบเหมือนกัน ครอบครัวยากจน ข้าวไม่พอกิน ผมและพี่ต้องไปอาศัยข้าววัดกิน พวกเราดิ้นรนแบบปากกัดตีนถีบ แบบไม่มีเกียร์ถอยหลัง เพราะไม่มีที่ให้ถอยจนได้เรียนหนังสือ มาทำงานกันทุกคนอยู่ทุกวันนี่แหละครับ
ผมและพี่น้องทุกคนดิ้นหลุดออกมาจากชายขอบ ที่ระบบครอบครัวผมเป็นอย่างนั้น โดยผมไม่รู้ว่าทำไม รู้ว่าแต่พ่อผมหยิ่งไม่รับมรดกจากปู่ย่า แม้แต่บาทเดียว มาสร้างครอบครัวเอาใหม่ เราก็เลยเริ่มจากความจน และเป็นชายขอบของชนบทที่ห่างไกลซะด้วยนะครับ
<p>วันหลังผมจะนำคำสอนที่พ่อ แม่ผมสอนผมและพี่ๆ มาเล่าให้ นัก KM ทั้งหลายฟัง แต่ถ้าใจร้อน ไปดูเวบไซต์ของผมที่ มข. ก่อนก็ได้นะ กำลังพัฒนาอยู่เหมือนกัน พร้อมๆกับ งาน gotoknow นี่แหละครับ </p><p>อยากฟังสมาชิก KM มองคนชายขอบอย่างไร ผมเป็นและหนีมาได้ ผมก็มองอย่างหนึ่ง ว่าการต่อสู้จึงนำมาสู่ความมีชัยของพี่น้องผมทุกคน แล้วคนชายขอบที่เป็นอยู่ละเขาทำอะไร และเราจะช่วยเขาได้อย่างไร</p><p>ผมเคยลองทำงานกับชุชนชายขอบ เมื่อปีที่แล้ว ที่อุบลฯ ผมช่วยเขาแทบไม่ได้เลย (เพราะปัญหาเขามาก และซับซ้อนจริงๆ) เกีอบจะพากันไปตกเขาตาย รวมทั้งตัวผมด้วย เลยต้องรีบถอนกำลังมาตั้งหลัก แบบเกีอบเอาตัวไม่รอด </p><p>ผมเคยหยิ่งในประสบการณ์ของผมเอง วันนี้ผมไม่กล้าไปแนะนำใครแล้วครับ เพราะเขาทำอย่างผมไม่ได้ทั้งหมด แล้วก็บอกผมว่าวิธิการของผมใช้ไม่ได้ ผมต้องหน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บมาจากการทำงานกับคนชายขอบ แบบต้องกลับมาตั้งหลักใหม่อยู่วันนี้แหละครับ</p><p>ท่านมีความเห็นว่าอย่างไรครับ</p>