ยามฝนหลั่ง พรั่งพรม ชโลมพื้น
ไม้พืชตื่น ฟื้นตัว ทุกหัวแหง
หญ้ายอดยาว ยืนย่อ คอตะแคง
เริ่มกล้าแกร่ง แทงยอด กอดกันกลม
บรรยากาศ วัดวา อารามรื่น
ไม้แช่มชื่น ตื่นตัว ทั่วอาศรม
แตกยอดใบ ใสเขียว ล้อเลี้ยวลม
น้ำโชลม พรมปะ ดูน่ามอง
ผืนแผ่นดิน สินธุ์พรม โชลมหล้า
หมู่กอหญ้า หน้าฝน ชลสนอง
แตกขยาย ใบเขียว เกี่ยวประคอง
คอยปกป้อง ร่องดิน กสินธุ์ธาร
มองลงทุ่ง ท้องนา ข้าวกล้าเหี่ยว
ดูซีดเซียว เหี่ยวแห้ง เพราะแล้งผลาญ
ได้น้ำฝน หล่นโชลม ปะพรมทัน
ข้าวกล้าชัน ชูต้น ต้นโคนโต
ยามยลเย็น เด่นเสียง สำเนียงป่า
เรไรมา ส่งเสียง เคียงข้างโข
ชั่งเยือกเย็น เช่นกาล ก่อนเติบโต
มันร้องโชว์ โอเค เสน่ห์แรง
เสียงวิหค นกแมลง ดังแจ้งชัด
เสียงไก่หัด ร้องขัน กาลทอแสง
นกกาเหว่า เร่าร้อง ก้องอย่างแรง
นกกดแต่ง เสียงสาร ผ่านแนวไพร
เสียงเม็ดฝน หยดเหยาะ ดังเปาะแปะ
เสียงฉ่อเแฉะ เปียะปัง น้ำหลั่งสาย
กระทบทับ ยับกระเซ็น กระเด็นไป
แตกกระจาย ไหลนอง เป็นร่องราง
ฝนคือพรม ห่มดิน เป็นสินธุ์น้ำ
ให้โลกฉ่ำ น้ำนอง เป็นหนองขัง
พืชได้ฝน จนเขียว ไม่เหี่ยวจาง
สัตว์ต่างๆ หวังวาด สวาทวงศ์
ฝนคือฝัน บรรเจิด ให้เกิดหวัง
ชาวนาตั้ง วางฝัน กาลประสงค์
ทุ่งนาข้าว คือเล้าฝัน อันยืนยง
น้ำมั่นคง ดินมั่งคั่ง นั่งนับเงิน
เมื่อฝนมา ป่ามี ที่อีสาน
มวลอาหาร บ้านวัด ไม่ขาดเขิน
หน่อไม้ป่า ปลาปูเห็ด เบ็ดเกี่ยวเพลิน
จะย่างเดิน ไปทางไหน ไม่อดตาย
โลกและฟ้า อากาศ หยาดน้ำฝน
หล่อเลี้ยงคน พลแมลง ทุกแหล่งสาย
สรรพสิ่ง อิงเอื้อ เกื้อกูลกาย
เราอาศัย โลกอยู่ ต้องดูแล
อย่าตัดไม้ ทำลายป่า ฆ่าสัตว์เล่น
อย่ามองเห็น ประโยชน์ตน จนชาติแย่
ธรรมชาติ ขาดสมดุล ทุนผันแปร
ผู้ย่ำแย่ แท้สุด มนุษย์เอย
ไม่มีความเห็น