ผมเน้นการบอกเล่าสอดผสานไปกับการถามทัก ซึ่งการถามทักที่ว่านั้นมีทั้งที่ไม่ต้องการคำตอบ เป็นการถามทักลอยๆ ชวนให้แต่ละคนได้ครุ่นคิดถอดรหัส ขณะที่บางจังหวะก็ถามทักโดยต้องการคำตอบ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมด้วยการให้คนในเวทีได้สะท้อนออกมา เพื่อ “ปลดปล่อยและกลบทิ้งหลุมดำ” บางอย่างที่อาจเป็นทั้งเรื่อง “การงานและชีวิต”
วันนี้ (วันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2562) ผมเดินทางไปเป็นวิทยากรกระบวนการที่มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์เนื่องในโครงการ “บ่มเพาะผู้นำนักศึกษายุคใหม่” และนั่นคือการจัดการเรียนรู้ทั้งวัน เป็นการจัดการเรียนรู้ในแบบที่ผมใช้ประจำ นั่นคือ “กระบวนการทางความคิดและการลงมือปฏิบัติ”
กระบวนการทางความคิด ในที่นี้หมายถึง ผมจะเน้นการบรรยายกึ่งเล่าเรื่อง ฝากแฝงข้อคิด หรือชวนให้ผู้ฟังในเวทีได้ขบคิดไปพร้อมๆ กัน
การขบคิดที่ว่านั้น เป็นได้ทั้งคิดเงียบๆ คนเดียว (เชิงปัจเจก) และสื่อสารกลับมาในเวทีของการเรียนรู้ เพื่อก่อให้เกิด “การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม”
กระบวนการที่ว่านี้ ผมเน้นการบอกเล่าสอดผสานไปกับการถามทัก ซึ่งการถามทักที่ว่านั้นมีทั้งที่ไม่ต้องการคำตอบ เป็นการถามทักลอยๆ ชวนให้แต่ละคนได้ครุ่นคิดถอดรหัส ขณะที่บางจังหวะก็ถามทักโดยต้องการคำตอบ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมด้วยการให้คนในเวทีได้สะท้อนออกมา เพื่อ “ปลดปล่อยและกลบทิ้งหลุมดำ” บางอย่างที่อาจเป็นทั้งเรื่อง “การงานและชีวิต”
ข้อมูลที่คนในเวทีสื่อสารมานั้น ในบางจังหวะ ผมผูกโยงขยายความด้วยตนเอง หรือชวนคนอื่นได้ช่วย “เติมเต็ม-เยียวยา”
ส่วนการลงมือปฏิบัติ จะเน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำร่วมกันอย่างเป็นทีม – ผ่านการเรียนรู้และโสเหล่ผ่านคลิป ผ่านโจทย์ที่ผมกำหนดขึ้น
โดยส่วนตัว นี่คือกระบวนการที่ผมคิดและเชื่อว่า “เป็นการจัดการเรียนรู้ผสมผสานระหว่างเรื่องการงานและชีวิต” เพราะสิ่งที่ผมพูดแม้จะเป็นประเด็นการงาน ผมก็มักจะดึงกลับมาในโหมดชีวิตไปในตัว เช่นเดียวกับประเด็นชีวิต ผมก็จะผูกโยงไปยงวิถีแห่งการงานด้วยเช่นกัน
และนี่คือ ส่วนหนึ่งที่ผมพูด หรือสื่อสารไว้ในเวทีที่ว่านั้น -
- กิจกรรมนิสิต รสชาติชีวิตปัญญาชน
- การตั้งคำถามกับชีวิต คือการปักหมุดในการเรียนรู้
- ธรรมชาติเป็นบ่เกิดของความรู้และปรัชญา
- มนุษย์ คือนักถอดความรู้ และมีความรู้ในตัวเองด้วยกันทุกคน
- เรามีสองสถานะหลักใสตัวเอง คือนักศึกษาที่ต้องทำหน้าที่หลักด้วยการเรียน และสถานะของการเป็นผู้นำนักศึกษาที่ต้องทำหน้าที่รังสรรค์กิจกรรมเพื่อพัฒนาตัวเองไปพร้อมๆ กับการพัฒนาคนรอบข้าง มหาวิทยาลัย และสังคม
- เรามีสถานะ และสถานะจะบ่งบอกความเป็นหน้าที่ไปในตัวอย่างเสร็จสรรพ การทำหน้าที่จึงควรต้องเรียนรู้ที่จะทำด้วยหัวใจ (ใจนำพาศรัทธานำทาง)
- การค้นพบตัวเองได้เร็ว ย่อมทำให้เราประสบความสำเร็จได้เร็ว
- การลงมือทำสิ่งใด โดยไม่รู้ตัวเอง โดยไม่มีข้อมูล คือการลองถูกลองผิดที่เสี่ยงต่อความล้มเหลว หรือไม่ก็ใช้เวลาอันยาวนานกว่าจะบรรลุซึ่งความฝัน
- เราเติบโตได้ก็ด้วยการเรียนรู้-แต่เราจะเติบโตได้อย่างไร หากเราไม่มีเครื่องมือที่จะเรียนรู้
- เราทำกิจกรรม ไม่ใช่ว่าเราใช้ต้นทุนทรัพยากรของตนเองเสียทั้งหมด งบประมาณ เวลา สถานที่ต่างล้วนเป็นสมบัติสาธารณะทั้งนั้น เมื่อจัดกิจกรรมเสร็จสิ้นลง เราต้องทบทวนว่าเราได้เรียนรู้อะไร เติบโตอย่างไร ล้มเหลวอย่างไร และกล้าหาญที่จะส่งต่อสิ่งเหล่านั้นให้คนรุ่นถัดมา
- การลงมือทำ จะสอนให้เราได้รู้ว่าทำได้ และทำไม่ได้ และนั่นเราต้องกล้าหาญที่จะถอดรหัสว่าทำได้เพราะอะไร ทำไม่ได้เพราะอะไร สิ่งนี้เป็นธรรมดาของโลกและชีวิต
- การทำกิจกรรม – มีประสบความสำเร็จและล้มเหลวคู่กันไป แต่ดีตรงที่ว่าเราแก้ไขใหม่ได้ แต่ในโลกความจริงของการจบไปทำงาน บางทีผิดพรากแล้ว เราอาจไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเหมือนที่เราทำกิจกรรม นี่คือสิ่งที่กิจกรรมจะเตรียมความพร้อมให้เราได้ออกไปเผชิญต่อโลกความจริง
- เราต่างมีอดีตด้วยกันทั้งนั้น เราโตมาจากอดีต อดีตคือต้นทุนที่ต้องนำมาประยุกต์ใช้กับปัจจุบัน แต่ไม่ใช่การจ่อมจม เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง
- คนทำกิจกรรม หรือผู้นำ ต้องการคิด กล้าลงมือทำ และกล้าที่จะรับผิดชอบ
- ไม่มีที่ใดปราศจากการเรียนรู้ เว้นเสียแต่เราจะไม่เปิดใจที่จะเรียนรู้
- ในองค์กรเรามีความต่างทางความคิดเสมอ ผู้นำต้องบริหารความต่างที่ว่านั้นให้ได้
-
- ความเป็นทีม เป้าหมาย คือสิ่งสำคัญ เป้าหมายคือตัวบ่งบอกความเป็นทีม การไปสู่เป้าหมายอาจมีกระบวนการที่เป็นหนึ่งเดียวกันก็ได้ หรืออาจมีกระบวนการที่ต่างกันบ้างก็ได้ แต่บรรลุในเป้าหมายเดียวกัน และกระบนการที่ว่านั้นต้องสร้างสรรค์
- การทำกิจกรรม คือการพัฒนาตัวเองและผู้อื่น และที่สุดกิจกรรมจะ “บ่มเพาะความเป็นสัตว์สังคม” หรือ “พลเมืองของสังคม” ไปในตัว
- ในองค์กรกิจกรรม ต้อง “สอนงานสร้างทีม” และคนทำกิจกรรมต้องทำงานในแบบได้คนและได้งาน มิใช่ทำกิจกรรมแล้วเสียเพื่อนเสียมิตรไม่รู้จบรู้สิ้น
- บางอย่างต้องเริ่มต้นจากการให้อภัยตัวเอง และเดินไปหาสังคม จากนั้นสังคมจะให้โอกาสแก่เรา ขึ้นอยู่กับว่าจะให้โอกาสมาก หรือน้อยแก่เราเท่านั้นเอง
- บ่อยครั้งการศึกษาก็พรากเราไปจากบ้านเกิด เราเดินทางไปเรียนต่อในที่ต่างๆ เหมือนตัวละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่พระเอกต้องพลัดบ้านพลัดเมือง เหมือนพระรามเดินดง เหมือนพระเวสสันดรที่ต้องไปใช้ชีวิตในป่า แต่สุดท้ายบางอย่างจะพาเรากลับบ้าน
- ความขาดเขิน ทุกข์ยาก ไม่ใช่อุปสรรค หรือปมด้อยเสมอไป มันอยู่ที่เราจะมีสติและกล้าที่จะยอมรับและสู้ หรือพลิกมันเป็นพลังได้หรือไม่
- ฯลฯ
ผมพูดในทำนองนั้นจริงๆ และที่จริง มีมากมายกว่านั้น
บางส่วนผมบันทึกไว้ในสไลด์เลยก็มี ขณะที่บางอย่างก็ผุดพรายขึ้นมาสดๆ โดยที่ผมก็ไม่ใคร่แน่ใจนักว่าคิดเอง หรือจำมาจากที่ไหนนี่แหละ รู้แต่เพียงว่ามันมีอยู่ในหัวสมองของผม และผมก็สื่อสารออกมา
ถ้อยคำข้างต้นคือส่วนหนึ่งที่ผมพร่ำพูดผ่านกระบวนการในเวที “บ่มเพาะผู้นำยุคใหม่” เป็นถ้อยคำที่เกิดขึ้นในแบบลอยๆ และเจาะจงตามจังหวะของการเรียนรู้ บางถ้อยคำผมสื่อสารลอยๆ บางถ้อยคำผมกดเน้นด้วยน้ำเสียงเพื่อชวนคิด
ใช่ครับ- ด้วยถ้อยคำประมาณนี้นั่นแหละ ผมถึงเรียกและเชื่อว่ากระบวนการที่ผมทำนั้น เป็น “กระบวนการทางความคิดและการลงมือปฏิบัติ” หรือ “กระบวนการเรียนรู้การงานและชีวิต”
ผิด-ถูก ผมไม่รู้หรอก แต่ผมคิดและทำในสิ่งที่ผมคิด และพูดในสิ่งที่ผมคิด และพูดในสิ่งที่ผมเสพสัมมาด้วยตนเอง -
เขียน : ศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2562 / มหาสารคาม
ภาพ : มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์