ประสบการณ์และการเรียนรู้จะสอนให้เรารู้จักใช้ชีวิตให้สมดุล ไม่ต้องทำอะไรให้มันตึงสุดโต่ง ไม่ต้องเอียงไปทางบวกให้มากเกินไป ไม่ต้องคะมำไปทางลบ และไม่ต้องจมปลักกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส..คิดเสียว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปทั้งสุขและทุกข์..
อาจจะมองเป็นเรื่องของความพอดีหรือพอเพียงของแต่ละคน แต่ต้องมองตนเองให้ออกว่าเราขาดหรือเกินในเรื่องใด ที่เหลือคือการเยียวยาหรือเติมเต็มเพื่อดำรงความเป็นชีวิตที่สุขสงบของเราเอง..
ผมเคยผ่านช่วงหนึ่งมา แบบที่ไม่เคยได้ท่องเที่ยวอย่างอิสระ เพราะเวลา โอกาสและฐานะไม่อำนวย..ช่วงเวลาดีๆหมดไปกับการศึกษา อบรมสัมมนา ตอนนั้นจำได้อย่างแม่นยำกับความรู้สึกเรียบเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ก็มีบ้างที่คิดเล็กๆว่าคงมีสักวันที่จะได้ไปเปิดหูเปิดตากับเขาบ้าง...
พอมีตำแหน่งการงานสูงขึ้น..โอกาสก็เปิดกว้าง ผมกลับคิดว่าไม่จำเป็นต้องฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเติมชีวิตให้สุดเหวี่ยง หันเข้าหาการเดินทางที่มีสาระ แบบว่าท่องเที่ยวแล้วได้ทั้งความรู้และความสุข..
อยากไปทานอาหารนอกบ้าน..สัมผัสบรรยากาศริมน้ำชมธรรมชาติเพื่ออิ่มเอมไปพร้อมกับรสชาติของอาหาร ก็ทำได้..ไม่จำเป็นต้องไปทุกที่ทุกแห่ง..แค่ลองไปสัมผัสดูบ้างก็เพียงพอ
การดูหนังในทีวีก็ประหยัดดีอยู่แล้ว..อยากมีความรู้สึกเร้าใจทั้งภาพและเสียงก็เข้าโรงหนัง..มันไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้วในปัจจุบัน ไม่ต้องใช้ข้อมูลมากมายในการตัดสินใจ แต่ช่วงวัยของชีวิตเราต้องแสวงหาสิ่งเหล่านี้บ้าง..
ในด้านการงานก็เหมือนกัน เรามักจะมองคนที่เก่งและมีความก้าวหน้า จากนั้น..เคยไหม?ที่เราจะรู้สึกชื่นชมคนอื่น จนลืมให้เกียรติตัวเอง..จริงๆแล้วเราก็เป็นได้ ในสิ่งที่เราอยากจะเป็น ไม่จำเป็นต้องเหมือนหรือเท่าเขา
ขอแค่มีความสุขในการทำงาน มีความพอใจในงานที่ทำ และแสวงหาความเก่ง ความก้าวหน้าด้วยความขยันขันแข็ง เราก็จะมีความภูมิใจในแบบของเรา
ผมเคยคิดกระทั่งว่า..ชาตินี้คงไม่มีบุญวาสนาได้บริหารการศึกษาในโรงเรียนใหญ่ๆ คิดแบบนี้ก็ใช่ว่าจะต่ำต้อยน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะผมเลือกทางเดินของผมเอง..
พอมาเลือกบริหารจัดการโรงเรียนเล็กๆ ผมกลับมองอีกมุมหนึ่ง ผมมองว่าโรงเรียนหลังนี้มันก็ใหญ่พอแล้ว สุขภาพกาย ใจ และเงินของผมจะเอาอยู่ไหม? ทำอย่างไรถึงจะไปรอด..ก็คิดวิเคราะห์อยู่เสมอ
ราวๆปี ๒๕๕๖ – ๒๕๕๘..ความรู้สึกที่เอิบอิ่มยิ้มรับในสิ่งที่ผมมี พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ประกอบกับมีพี่เพื่อนน้องเข้ามาช่วย มีภาคเอกชนเข้าส่งเสริมสนับสนุน ทำให้ผมเริ่มคิดการใหญ่..แต่เป็นการคิดแบบย่อส่วน..ที่มีพลังเหลือเกิน
ผู้บริหารหลายคนทำมาแล้ว..บางคนทำไม่ได้ ล้มหายตายจากและย้ายไปเสียก่อน..แต่ผมนี่แหละจะทำให้ดูและอยู่ให้เห็น เพื่อบอกใครต่อใครว่ามันน่าทำและจงทำเถอะ...
ผมจะทำโรงเรียนเล็กให้เหมือนโรงเรียนใหญ่ เพื่อให้โอกาสเด็กๆในเขตบริการของผม ผู้ซึ่งเป็นลูกค้าคนสำคัญที่ผมต้องดูแล..ผมไม่กลัวที่จะเปลืองตัวใดๆทั้งสิ้น..
โรงเรียนใหญ่มีครูมากมาย..เหลือเฟือ..โรงเรียนของเราเล็กก็ต้องมีครูครบชั้น อาจไม่ครบทุกวิชาเอก ก็ต้องหาช่องทางพัฒนาให้จงได้
โรงเรียนใหญ่มีครูนาฎศิลป์ ผมให้เด็กของผมเอาดีทางเพลงพื้นบ้านผมก็ทำจนสำเร็จมาแล้ว..โรงเรียนใหญ่มีห้องสมุด มีคอมพิวเตอร์..โรงเรียนเล็กก็มีได้ไม่ต้องยิ่งใหญ่อลังการ แต่สามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ได้อย่างสมประโยชน์
โรงเรียนขนาดเล็ก เมื่อย่อส่วนลงมาจากโรงเรียนใหญ่แล้วทำได้จริง จะให้ความรู้สึกแบบ “จิ๋วแต่แจ๋ว” ในสายตาแห่งศรัทธาของชาวโลก
ใครที่ติดตามวงการศึกษา จะเข้าถึงในสิ่งที่ผมคิด เพราะทุกวันนี้เขากำลังจะทำโรงเรียนมีคุณภาพประจำตำบล..ที่บางคนคิดว่าเป็นโมเดลหรือต้นแบบการศึกษา
แท้ที่จริงไม่ใช่เลย...แต่ช่างเถอะ..ผมรู้แต่เพียงว่ามันจะทำให้โรงเรียนเล็กๆอยู่ยาก หากไม่ขับเคลื่อนตัวเอง..
วันนี้..ที่โรงเรียนกำลังจะมีห้องดนตรีเป็นของตัวเอง และก่อนหน้านี้เล็กน้อย คุณภาพผลสัมฤทธ์ทางการเรียนก็มาเป็นอันดับ ๑ ของตำบลเป็นที่เรียบร้อย...
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๓๐ เมษายน ๒๕๖๒
ไม่มีความเห็น