วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๒ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.จรัส สวุรรณเวลา ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษา (คลิกประวัติท่านที่วิคกิพีเดียที่นี่) ให้เกียรติและเมตตามาบรรยายบอกทิศทาง “การศึกษาทั่วไปในศตวรรษที่ ๒๑” ณ ห้องประชุมชั้น ๓ อาคารวิทยพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) … ขอกราบขอพระคุณท่านเป็นอย่างสูงครับ บันทึกนี้ผมจะสรุปแนวทางที่ท่านชี้บอกสำหรับการพัฒนาการศึกษาทั่วไปในศตวรรษที่ ๒๑ น่าจะเป็นประโยชน์ยิ่งต่อกระบวนการปรับปรุงหลักสูตรอย่างมีส่วนร่วมที่กำลังจะดำเนินไป และสำหรับเพื่ออาจารย์มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมขออนุญาตท่านว่าจะนำสิ่งที่ท่านพูดมาเผยแพร่บอกต่อ และนำไปปฏิบัติเต็มตามกำลัง (ที่ตัวผมมี) … ผู้ใหญ่ที่ธรรมเข้าถึงใจ ผมไม่เห็นใครจะหวงความรู้สักแม้แต่หนึ่งคนเลย …. (ศ.นพ.วิจารณ์ พาณิชน์, ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, ดร.ปรียานุช ธรรมปิยา, และคุณครูเพื่อศิษย์ ทั้งหมด ทุกท่านล้วนยินดีให้เป็นวิทยาทานทั้งสิ้น)จับประเด็น "แนวทางการจัดการศึกษาทั่วไปในอนาคต"
ท่านลองตรวจสอบดูก่อนว่า อาจารย์ที่มาร่วมฟังบรรยาย เลือกหมายเลขใด เกี่ยวกับสภาพของการศึกษาทั่วไป
ท่านถามว่า ใครบ้างที่เลือกหมายเลข ๑ หมายถึง เห็นความสำคัญมากแต่ความจริงนั้นยังห่างไกล
ใครบ้างที่เลือกหมายเลข ๙ ที่ ทำกันไปได้ดี แต่ไม่มีความสำคัญใด ๆ
คนจำนวนหนึ่งเลือกหมายเลข ๕ ... ท่านแปลว่า เป็นกลุ่มที่ไม่รับผิดชอบ ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ ...
พื้นฐานการศึกษาของประเทศไทย มาจากประเทศใด
มาจากฝรั่งเศส ไหม ที่เน้นไปทางการสร้าง "นัก" ต่าง ๆ สอนให้เป็นนักวิชาชีพ
มาจากอังกฤษไหม ที่เน้นสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
มาจากเยอรมันไหม ที่เน้นกระบวนการวิจัย
หรือมาจากสหรัฐอเมริกา ที่เน้นเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน
การศึกษาทั่วไป สำคัญแค่ไหน
เป็น "ติ่ง" เล็ก ๆ ต่ออยู่กับระบบใหญ่ใช่ไหม ... เป็นลูกเมียน้อยใช่ไหม
สำคัญหรือไม่ หรือไม่สำคัญ
ท่านถามว่า ในอีก ๑๐ ข้างหน้า การศึกษาจะเปลี่ยนไปเพียงใด ให้เลือกระหว่าง ๑ ถึง ๑๐ ... ท่านเฉลยว่า น่าจะสัก ๒๐ ...
ความรู้มีมาก มีอยู่แล้ว และเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล เป็นการระเบิดของความรู้
นอกจาเพิ่มขึ้นแล้ว ลักษณะการเกิดขึ้นของความรู้นั้น ไม่ได้ต่อเติมหรืองอกใหม่ แต่เหมือนความรู้มีชีวิต มีเกิดขึ้น ตังอยู่ และดับไป
ท่านพูดเกี่ยวกับลักษณะขององค์ความรู้ในศตวรรษที่ ๒๑
เนื้อหาสาระ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญ มี ๓ ประการ ได้แก่
คุณธรรม จริยธรรม
สมรรถนะจำเป็น
ความเชี่ยวชาญตามความถนัดของตนเอง
นี่คือเป้าหมายของประเทศ
คนไทยฉลาดรู้
คนไทยอยู่ดีมีสุข
คนไทยสามารถสูง
พลเมืองไทย ใส่ใจสังคม
ทีมคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษา สรุปว่า สมรรถนะ ๑๐ ประการที่ต้องมีในศตวรรษที่ ๒๑
ปริญญาวิชาชีพ ไม่จบอยู่แค่ได้ปริญญาเหมือนเดิมแล้ว แต่เป็นการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต
มหาวิทยาลัยต้องรับผิดชอบให้เขามีงานทำ สามารถทำงานได้ สามารถสร้างงานได้ ไม่ใช่การสอนให้เขาจบปริญญาเท่านั้น
ไม่ใช่ให้ปริญญาเขา ๓๒,๐๐๐ คนไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า มีตำแหน่งงานอยู่เพียง ๒๔,๐๐๐ คนเท่านั้น .... อีก ๗,๐๐๐ คนจะต้องงานแน่นอน
การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น สิ่งหลักสำคัญที่สุดแน่นอนว่า คือการสร้างวิชาชีพ (Professionalism) จึงมีคำว่า "นัก" เกิดขึ้น
แต่ต้องมีส่วนอื่นประกอบ คือ ทักษะและสมรรถนะอื่นด้วย เช่น ทักษะชีวิต สมรรถนะด้านการใช้ความรู้ต่าง ๆ อื่น ๆ ด้วย เช่น ความรู้เรื่องสุขภาพ สังคม ฯลฯ
การจัดการศึกษาที่ผ่านมา มุ่งเฉพาะด้านวิชาชีพ และพยายามผลักส่วนที่เหลือไปไว้ในการศึกษาทั่วไป .... ซึ่งไม่ใช่ ....
ที่ถูกต้องนั้น การสอนวิชาชีพนั้น จะต้องสอนจิตวิญญาณของวิชาชีพนั้น ๆ ด้วย ครูอาจารย์นั้นคือ "บุพการี" ครูอาจารย์ไม่ใช่ผู้รับจ้างสอน (เหมือนปัจจุบัน) ครูอาจารย์เป็นบุพการี คือเป็นผู้ให้ ให้ความรักความเมตตา ให้การอุปการะโดยไม่หวังผลตอบแทน
คำว่า "บุพการี" เป็นคำไทย ที่ไม่ในภาษาอื่น
ครูเป็นผู้ให้ ให้การดูแล และศิษย์ผู้ได้รับการดูแล ก็จะดูแลคนอื่นต่อ ๆ ไป
การศึกษาทั่วไป ควรจะเป็น "การศึกษาเพื่อสร้างสมรรถนะพื้นฐาน" (Enabling Competence) คือสิ่งจำเป็นที่จะช่วยสร้างให้เกิดสิ่งอื่น ๆ เป็นฐานของการอุดมศึกษา
โลกเปลี่ยน คนเปลี่ยนไป ...บางทีไวกว่า ๒๐ ปี
คนโบราณ (T)
คนเบบี้บูม (Baby Boom)
คนเจนเนอเรชั่น X ... หลายคน ตอนนี้เป็นผู้บริหาร
คนเจนเนอเรชั่น Y เริ่มเมื่อมีคอมพิวเตอร์ ... ตอนนี้เป็นคนทำงานส่วนใหญ่
คนเจนเนอเรชั่น Z เริ่มเมื่อมีอินเตอร์เน็ต ... ตอนนี้เป็นนิสิต นักศึกษา นักเรียน
เมื่อเปรียบเทียบกับการระเบิดของความรู้ (Knowledge Explosion) จะเห็นว่า แต่ละรอยต่อของยุค จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
Technolgical Transformation จาก BB เป็น X
Social Transformation จาก X เป็น Y
Digital Transformation จาก Y เป็น Z
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการเปลี่ยนรูปไป จากยุคแรกที่ Informative -> Formative -> Transformation
ดังนั้น เด็กสมัยนี้แตกต่างจากครูอาจารย์ที่สอนอยู่ เด็กเป็น Digital Native ส่วนครูอาจารย์เป็น Digital Immigrant
บทบาทของมหาวิทยาลัยจึงเปลี่ยนไป ไม่ใช่การรับนักเรียนมาสร้างนักวิชาชีพแบบมอบใบปริญญา แต่นักศึกษาจะไม่ใช่เพียงนักเรียน เป็นคนทุกช่วงวัย โดยบทบาทใหม่ของมหาวิทยาลัยคือ
Workforce
Upskill
Traning และ
Re-Education
สิ่งที่มหาวิทยาลัยจะต้องพิจาณาให้ดีคือ "ผู้บิหาร" ซึ่งมักเป็นคนมาจากยุค Gen X ถ้าเป็นผู้บริหารที่เป็น X แล้วไม่เข้าใจ Z มองไม่เห็น จึงพยายามบีบ Z ให้เป็นแบบเดิมที่ตนเข้าใจ จะทำให้เกิดปัญหา ... ปัญหาช่องว่างระหว่างวัย
ต้องเปิดประตูมหาวิทยาลัยให้กว้าง ให้ได้มีส่วนร่วมและโอกาสในการบริหาร
New Leader
Modern management
ฯลฯ
ทำให้หลายสิ่งต้องเปลี่ยนไป
การเรียนการสอนเปลี่ยน
Self-access ot knowledge
Active Learning
Project-based, Problem-based
Research-based
Experiential Learning in workplace
ฯลฯ
งานหรืออาชีพก็เปลี่ยน หลายอาชีพหายไป เช่น พนักงานธนาคาร ฯลฯ
มหาวิทยาลัยต้องมองกลุ่มเป้าหมายใหม่
โอกาสใหม่ และการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เช่น โชห่วยที่ต้องเจ๊งไปเมื่อห้างใหญ่เข้ามา
ต้องสร้างคนที่เป็น "นัก" ในอนาคตเองได้ จะรอดได้
สมัยก่อนเด็กหน้าห้องเก่งกว่าเด็กหลังห้อง แต่สมัยนี้ เด็กหลังห้องที่เรียนรู้ด้วยตนเองผ่านมือถือ เก่งกว่าครูอีก ....
ทุกวันนี้ Digital Literacy เป็นเรื่องจำเป็น
on air คือ องค์ความรู้จำนวนมากกลายมาเผยแพร่ทั้งภาพแสงเสียง ออกอากาศไปทั่ว
online คือ ความรู้ต่าง ๆ ออนไลน์ สืบค้นได้จากทุกที่ทุกเวลา
on ground คือ
คนต้องสามารถเข้าใจ เข้าถึง ประทับใจ คัดเลือกเป็น เกิดแรงบันดาลใจ (Inspiration) สร้างความเข้าใจของตนเองได้ และปรับใช้ได้
การศึกษาทั่วไป จะต้องเข้าสู่ยุค Digital Educaiton Transformation
ผู้เรียนขณะนี้ในระดับมหาวิทยาลัยลงไป พวกเขาเหมือนเป็นคนสัญชาติดิจิตอล (digital native) การศึกษาจึงไม่เหมือนกับคนยุคก่อนนั้นที่เป็น (digital immigrant)
ลักษณะสำคัญ ที่เป็นของการศึกษาสำหรับคนยุค digital native เช่น
การสื่อสารแบบใหม่
การเรียนรู้สมัยใหม่ จะต้องมีลักษณะ
Multidisciplinary คือ บูรณาการหลาย ๆ ศาสตร์
Muti-sectoral คือ ไม่จำเป็นต้องเป็นคณะหรือหลักสูตร แต่ร่วมมือกันหลายหลักสูตร
Multicultural คือ พหุวัฒนธรรม ผู้เรียนรับรู้และได้สัมผัสข้ามวัฒนธรรม
Work-in-team คือ การทำงานเป็นทีม
รูปแบบการเรียนสมัยใหม่ จะต้อง
Social Media Learning เรียนรู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
Learning Community สร้างชุมชนการเรียนรู้ด้วยตนเอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้สนใจและนักปฏิบัติร่วมกัน
Communication Plaform การเรียนแบบส่งผ่านความรู้ หรือถ่ายทอดเก่าไปแล้ว ไม่ใช่สื่อสารทางเดียวแล้ว
Learning Platform เปลี่ยนไป
สื่อแบบใหม่ ไม่ใช่เพียงอ่านหรือดูให้รู้ตาม แต่เป็นสื่อสะท้อนความคิด ความอ่านของผู้สร้าง และสามารถกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ชมได้ด้วย เช่น
Augmented reality
Multimedia
MEME
ฯลฯ
เด็กสมัยใหม่ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว พวกเขา คิดเป็นระบบ คิดข้ามขั้น คิดนอกกรอบ คิดเร็ว ลดคำ สิ่งที่เขาต้องการ คือ
Multitasking ทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน
Abstraction จับประเด็น อ่านจับใจความ
Creativity สร้างสรรค์
Entrepreneurship เป็นผู้ประกอบการ
สิ่งที่ต้องเน้นเป็นปลายทาง คือ จะต้องสามารถ
มีส่วนร่วมหรือสร้างนวัตกรรม โดยเฉพาะนวัตกรรมด้านกระบวนการ ทำการศึกษาทั่วไปใหม่ เช่น
จุฬาฯ ตั้งเป้าว่า นิสิตต้องได้ภาษาอังกฤษ
จึงกำหนดเป็นมาตรฐานขึ้น ว่า นิสิตต้องผ่านการฝึกฝนด้านภาษาอังกฤษ แสดงไว้ในใบประกาศ
จึงเกิดการสร้างศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเอง
เกิดระบบ CU-Test การทดสอบที่มีมาตรฐานของจุฬาฯ ขึ้น
ฯลฯ
ไม่ใช่เพียงสร้างนวัตกรรมแต่ต้องไปให้ถึงการนำไปใช้ประโยชน์ได้
ต้องไม่ดูถูกเด็ก ต้องมองใหม่ เขาทำได้ ไม่ใช่
เด็กอนุบาล ต้องเขียนหนังสือ ต้องอ่านหนังสือ ต้องติวหนังสือ .... ทำให้ความสามารถอย่างอื่นหายไปหมด
อาจแบ่งยุคของการศึกษาได้ ๓ ยุค ได้แก่
Informative Learing การเรียนรู้ข้อมูลสารสนเทศที่มีอยู่แล้ว นำไปสู่ Information competence คือ สมรรถนะในการใช้สารสนเทศ
Formative Learning การศึกษาเพื่อสร้างอาชีพ สร้าง "นัก" ในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญในอาชีพ
Transformative Learning การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงจากภายใน ทั้งที่ใช้งานทันที และเจริญได้เองในอนาคต
ทักษะที่ควรเน้นในการศึกษายุคนี้ที่สุด
การค้นหาความรู้ (Access)
การใช้ความรู้อย่างถูกต้อง (Applications)
การสร้างความรู้ (New knowledge)
การศึกษาทั่วไปจะเป็นฐานด้านกระบวนการเรียนรู้ไปสู่ Entrusted Professinal Activities คือ คุณลักษณะเฉพาะของแต่ละอาชีพสาขา จะเป็นหมอต้องมีคุณลักษณะอย่างไร ฯลฯ
ต้องสร้าง "ชานบันได" ไว้ เป็น เป้าหมายรายทางย่อย หรือ Milestones ก่อนจะไปถึง EPA
ต้องมี "บันได" คือที่ชัดเจนจากการฝึกฝนแบบต่าง ๆ Observation Simulation Experience Hand-on Supervision
ต่อไป รูปแบบการเรียนรู้จะไปสู่ Digital Learning Platform
Google จะกลายเป็นมหาวิทยาลัย เป็น Virtual programs
มีหลักสูตรที่หลักหลาย ออนไลน์ให้เรียนได้จากทุกที่ทุกเวลา
สรุปแนวทางที่ท่านแนะนำ มมส.
การศึกษาทั่วไป คือ การศึกษาที่จะสร้างทักษะและสมรรถนะในการสร้างทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ (Enabling Competenc) มุ่งสร้างนวัตกรรมด้านกระบวนการเรียนรู้เพื่อนำองค์ความรู้ไปใช้ทั้งแบบใช้ทันที และเจริญขึ้นได้เองอีกในอนาคต
ปล่อยให้อาจารย์สอนในสิ่งที่อาจารย์อยากสอน
เน้นให้ผู้เรียนเป็น Creator ลดการเป็น Consumer
มุ่งสู่ Digital Learning Platform
สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต