เมื่อรู้จักและใกล้ชิดกับคำว่า”พอเพียง”และ”พอดี” บางทีเราจะไม่รู้สึกเชื่อมั่นในถ้อยคำเหล่านี้ ถ้าเราไม่ใคร่ครวญและขวนขวายที่จะสร้าง “ความดี” ในชีวิตประจำวัน
ก็แค่อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่ามัวแต่เห็นผิดเป็นชอบ และชอบที่จะคิดลบอยู่เสมอ อาทิ..”คนชั่วได้ดีมีถมไป” ทำไมไม่คิดเรื่องกฎแห่งกรรม ว่าเวรกรรมยุคใหม่ไม่ธรรมดา เริ่มติดจรวดกันแล้ว..ก็เห็นๆกันอยู่ อย่ากระพริบตาก็แล้วกัน
เคยได้ยินไหม “อำนาจไม่คงที่ ความดีสิคงทน” คนดี..สำคัญที่สุดเสมอ อย่าเบื่อหน่ายที่จะสร้างสรรค์ความดีให้แก่ชีวิต ความดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่บุคล..
แต่ดีก็คือดี ประจักษ์ได้แก่ใจและสายตา ถ้ายังรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ ก็แค่ปรับเปลี่ยนมุมคิด ชีวิตก็เปลี่ยน..เปลี่ยนไปสู่เส้นทางที่มีความสุขอย่างพอเพียงและมากพอ..
ลองมามอง”มุมบวก” ของทุกสรรพสิ่ง ทิ้งมุมลบออกไปเสียบ้าง ชีวิตคนเรามีปัญหาที่ถาโถมมาอย่างมากมายอยู่แล้ว ทั้งเรื่องอารมณ์ อาหารและอากาศ..
ร้อนนักก็พอทน จะบ่นไปใย เดี๋ยวมันก็มืดค่ำสงบเย็นและเป็นสุข หาเวลาดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว อย่ากลัวที่จะเจอละครน้ำเน่า เพราะในน้ำที่เน่าๆ ยังไงก็ยังเห็นเงาจันทร์ จึงไม่ควรตำหนิตัวละครที่แย่ๆ เพราะในทุกเรื่องราวของหนังละคร มีคนดีร่วมอยู่ด้วยให้เรามองเห็นแบบอย่างในแง่ที่งดงาม
การสร้างทัศนคติที่เป็นมุมบวก..เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่ช่วยให้ชีวิตปล่อยวางทางความคิดที่เป็นขยะ ช่วยลดละการนำเข้าความเดือดร้อนให้กายและใจโดยไม่จำเป็น
คิดดีได้แล้วทำทันที ลองพาตัวเองไปเดินเล่นสวนสาธารณะ พาครอบครัวไปไหว้พระที่วัดใกล้บ้าน ความสุขเล็กๆน้อยๆสร้างได้ แค่คิดว่าอยากทำ ก็จะพบความสุขที่มากพอ..
อย่าอคติกับความคิดตัวเอง เพียงไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า หาเวลาไปทานข้าวนอกบ้าน ความสุขสำราญเช่นนี้ ทำได้ไม่ถึงกับฟุ้งเฟ้อ อยู่ที่เหตุผลที่เราจะทำและทำอย่างพอประมาณ เป็นความพอเพียงและพอดีส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
ก็แค่ถามตัวเองว่า..ทำแล้วมีความสุขหรือไม่? สร้างความเดือดร้อนให้ใครหรือเปล่า?เท่านั้นเอง อย่าเป็นคนที่ติดแต่ข้อแม้และเงื่อนไข..บางครั้งชีวิตก็ต้องลื่นไหลไป แต่เราก็ต้องควบคุมมันให้ได้..ไม่ให้ไหลไปในเส้นทางแห่งอบายมุข..
สุข..ที่มากพอ จึงสร้างได้ แค่คิดว่าจะไม่ย่ำอยู่กับที่ ย้ำคิดย้ำทำแต่เรื่องเดิมๆ เพิ่มเติมรสชาติให้ชีวิตบ้าง..ดูหนัง ฟังเพลง บรรเลงร้องเพลงที่ชอบกับนักร้องที่ใช่ เป็นวิธีง่ายๆ ที่ใครได้ทำก็ล้วนมีความสุขทั้งสิ้น
การไม่เปลี่ยนตัวเองแล้วจมปลักกับความเบื่อหน่ายในความคิดและคนรอบข้าง ทั้งที่เราไปเปลี่ยนอะไร หรือเปลี่ยนใครไม่ได้เลย จึงอย่ารอให้พร้อม โลกยุคใหม่ต้องการคนคิดดีทำดีเพื่อส่วนรวม..ที่เข้าถึงความ”พอเพียง” และหลีกเลี่ยงการทำให้องค์กรและสังคมมีปัญหา..เพราะจะส่งผลนำพาไปสู่ปัญหาของประเทศชาติได้..
อาชีพครู..จึงเป็นอาชีพที่น่าจะคิดได้ก่อนใคร ในช่วงปิดภาคเรียนเช่นนี้ เพราะมีเวลาให้คิดถึงลูกศิษย์ที่จบการศึกษาไป ตลอดจนมีลูกศิษย์ที่เข้ามาสู่เส้นทางใหม่ให้เราสอน..
ปีการศึกษา ๒๕๖๒..ทดลองดูก็ได้ไม่เห็นเป็นไร..ใช้มุมมองใหม่ “ปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีสอน” หากวิธีการและบรรยากาศเดิมๆ ไม่ช่วยให้ผลสัมฤทฺธิ์ดีขึ้น
หันมาให้เวลากับงาน”วิชาการ” บูรณาการกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้วยกีฬาและดนตรี เพื่อเติมเต็มสังคม อารมณ์และสติปัญญาให้ผู้เรียน..นี่คือสิ่งที่ครูต้องคิดและพากเพียรให้เกิดขึ้น..โดยที่ไม่มีข้อแม้..หรือเงื่อนไขใดๆ
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนทำหน้าที่ เตรียมใจให้พร้อมก่อนเปิดภาคเรียน..แม้ว่าผลจากการกระทำยังไม่บังเกิดให้เจิดจรัส..แค่คิดที่จะทำ..ก็อาจนำมาซึ่งความสุขใจมิใช่น้อย
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๒๐ เมษายน ๒๕๖๒
ไม่มีความเห็น