62. ในธรรมชาติเดิมแท้ ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูปรากฏขึ้น


62. ในธรรมชาติเดิมแท้ ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูปรากฏขึ้น


ถาม  ประมาณสี่สิบปีมาแล้ว ท่านกฤษณมูรติกล่าวว่า มีเพียงชีวิตเท่านั้นที่มีอยู่จริง และคำพูดเกี่ยวกับบุคลิกภาพและปัจเจกบุคคลไม่มีอยู่จริง

ท่านไม่ได้พยายามจะอธิบายว่าชีวิตคืออะไร – ท่านเพียงแต่บอกว่าชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ต้องการคำอธิบาย และไม่สามารถอธิบายได้

แต่เราสามารถรู้สึกถึงชีวิตได้ ถ้าเรากำจัดอุปสรรคที่ปิดกั้นการรับรู้นี้

อุปสรรคสำคัญคือ แนวคิดเกี่ยวกับเวลาและการยึดติดกับเวลา ของเรา

เรามักคาดหวังรอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และครุ่นคิดถึงแต่อดีต

อดีต มักสรุปรวมอยู่ในคำว่า “ฉันเคยเป็น” และอนาคตสรุปรวมลงในคำว่า “ฉันจะเป็น”

และชีวิตคือความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะข้ามผ่านจาก “ฉันเคยเป็น” ไปสู่ “ฉันจะเป็น”

โดยไม่ได้แม้แต่จะสังเกตเห็น “ปัจจุบันขณะ”

ท่านมหาราช ในมุมมองของ “ฉันเป็น” มันเป็นแค่มายาเหมือน “ฉันเคยเป็น” และ “ฉันจะเป็น” หรือเปล่า หรือจะมีอะไรบางอย่างที่เป็นจริงเกี่ยวกับมัน

และถ้า “ฉันเป็น” ก็เป็นมายาเช่นกัน เราจะเป็นอิสระจากมันได้อย่างไร

ความคิดว่า ฉันเป็นอิสระจาก “ฉันเป็น” นั้นช่างไร้สาระ

“ฉันเป็น” นั้นเป็นจริง หรือคงอยู่ได้นานกว่า “ฉันเคยเป็น” หรือ “ฉันจะเป็น” หรือเปล่า

ตอบ  “ฉันเป็น” ที่คงอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่จริงเท่าๆกับ “ฉันเคยเป็น” และ “ฉันจะเป็น”

มันเป็นแค่แนวคิดภายในใจ เป็นความประทับใจที่มีอยู่ในความทรงจำ และการสร้างตัวตนของมันนั้นแหละที่ไม่จริง

อุปนิสัยที่ชอบอ้างถึงศูนย์กลางที่ไม่จริงนี้ มักทำไปด้วยคำว่า “ฉันเห็น” “ฉันรู้สึก” “ฉันคิด” “ฉันทำ”

คำเหล่านี้ต้องถูกลบออกไปจากสนามของความรู้ตัว

เมื่อสิ่งไม่จริงถูกกำจัดออกไป สิ่งที่เหลืออยู่คือสิ่งจริงแท้

ถาม  การที่คนกล่าวถึงการกำจัดอัตตาตัวตน หมายความว่าอย่างไร

อัตตาตัวตนจะกำจัดตัวมันเองได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นสภาวะนามธรรม

เดี๋ยวมันก็จะกลับมาอีก พร้อมความกระหยิ่มในการแสดงของมันว่ามันหายตัวได้

ตอบ  เธอไม่จำเป็นต้องไล่ล่าอัตตาตัวตนเพื่อกำจัดมัน

ที่เธอต้องทำมีแค่ ความต้องการค้นพบความจริงแท้อย่างจริงใจ

เราเรียกมันว่า อาตมา ภักติ (atma-bhakti) หรือความรักต่อสิ่งสูงสุด หรือ moksha-sankalpa ความตั้งใจมั่นที่จะเป็นอิสระจากสิ่งไม่จริง

ปราศจากความรัก และความมุ่งมั่นที่เกิดจากความรักอันแรงกล้า จะไม่สามารถสำเร็จผลได้

การแค่พูดถึงความจริงแท้ โดยไม่ทำอะไรเลย เป็นการนำตนไปสู่ความพ่ายแพ้

จำเป็นต้องมีความรักในความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนที่พูดว่า “ฉันเป็น” กับผู้เฝ้ามองความคิดว่า “ฉันเป็น” นั้น

ตราบใดที่ผู้เฝ้ามอง หรือตัวตนภายใน ตัวตนที่สูงกว่า จัดสรรให้ตนนั้นแยกออกจากสิ่งที่ถูกรู้ หรือตัวตนที่ต่ำกว่า รังเกียจมัน และประณามมัน ตราบนั้น นับเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง

ต่อเมื่อผู้เฝ้ามอง (vyakta) ยอมรับว่าบุคคล (vyakti) เป็นแค่ภาพฉาย หรือเป็นการสำแดงของตน และน้อมรับเอาอัตตาตัวตนเข้ารวมกับตัวตนที่แท้

ความเป็นของคู่ ของ “ฉัน” และ “นี้” จะสลายไป

และความเป็นตัวตนภายนอกและตัวตนภายใน ต่างก็เป็นการสำแดงของความจริงสูงสุด

ความหลอมรวมระหว่างผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูกับสิ่งถูกเห็นนี้ เกิดขึ้นเมื่อผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูระลึกรู้ว่าตนคือผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู โดยไม่ให้ความสนใจต่อสื่งถูกเห็น ซึ่งเป็นตนนั่นเอง

แต่ในขณะเดียวกัน ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูก็สนใจต่อความสนใจของตน ตระหนักถึงการตระหนักของตน

การตระหนักรู้ที่เปี่ยมด้วยความรัก คือปัจจัยที่สำคัญยิ่ง ที่ช่วยนำความจริงแท้ให้ปรากฏ


ถาม  ตามทฤษฎีของกลุ่มผู้สนใจศาสตร์ลึกลับ มนุษย์ประกอบด้วยสามแง่มุมคือ บุคลิกภาพ ความเป็นปัจเจก และจิตวิญญาณ

เหนือจิตวิญญาณคือ พระเจ้า

บุคลิกภาพ เป็นสิ่งชั่วคราวอย่างแท้จริง และมีอยู่ชั่วชีวิตหนึ่งเท่านั้น

มันเริ่มขึ้นพร้อมกับการเกิดของรูปร่างกาย และสิ้นสุดลงพร้อมกับการเกิดของรูปร่างกายใหม่

เมื่อมันจบลง มันจะจบโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลืออยู่ นอกจากบทเรียนบางบทที่หอมหวานหรือขมขื่น

ความเป็นปัจเจก เริ่มมีขึ้นเมื่อมีสัตว์มนุษย์ และจบลงเมื่อมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

การแยกระหว่างบุคลิกภาพและความเป็นปัจเจก คือคุณลักษณะของมนุษยชาติในปัจจุบัน

ด้านหนึ่งคือความเป็นปัจเจกซึ่งโหยหาความจริง ความดี และความงาม

อีกด้านหนึงเป็นการต่อสู้ที่น่าเกลียดระหว่างอุปนิสัยและความทะเยอทะยาน ความกลัว และความโลภ การไม่โต้ตอบและความรุนแรง

แง่มุมทางจิตวิญญาณยังคงอยู่ในการสงบนิ่ง

มันไม่สามารถแสดงตัวออกมาในโลกของธรรมคู่

ต่อเมื่อบุคลิกภาพเข้าหลอมรวมกับความเป็นปัจเจก

และกลายเป็นการแสดงออกทีมีขอบเขตจำกัด แต่ก็ตรงต่อความจริงของทั้งมันว่า แสงสว่าง และความรัก และความงาม ของจิตวิญญาณ ได้กลับคืนสู่สภาพเดิม

ท่านได้สอนเกี่ยวกับ vyakti, vyakta, avyakta (ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู สิ่งถูกรู้ และที่ว่างซึ่งการเฝ้ารู้เฝ้าดูเกิดขึ้น)

เหล่านี้สอดคล้องกับมุมมองของคนอื่นหรือเปล่า

ตอบ  แน่นอน เมื่อผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู ตระหนักถึงการไม่มีอยู่จริงของมัน โดยแบ่งแยกจากสิ่งถูกรู้

และสิ่งถูกรู้ เห็นว่า ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู คือการแสดงออกของมันเอง

เมื่อนั้น ความสงบสันติและความเงียบของที่ว่างซึ่งการเฝ้ารู้เฝ้าดูเกิดขึ้น ก็จะแสดงการมีอยู่ของมันออกมา

ในความเป็นจริง ทั้งสามนี้คือหนึ่งเดียวกัน สิ่งถูกรู้ และที่ว่างซึ่งการเฝ้ารู้เฝ้าดูเกิดขึ้น ไม่สามารถแยกจากกันได้

ในขณะที่ ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู คือขบวนการรับสัมผัส-รู้สึก-คิด ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของกายที่ประกอบขึ้นและหล่อเลี้ยงโดยธาตุทั้งห้า


ถาม  อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งถูกรู้ และที่ว่างซึ่งการเฝ้ารู้เฝ้าดูเกิดขึ้น

ตอบ  สิ่งซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันจะมีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร

การพูดถึงความแบ่งแยกและความสัมพันธ์ เกิดขึ้นเนื่องจากอำนาจชักจูงของความคิดว่า “ฉัน-คือ-ร่างกาย” ที่บิดเบือนและทำให้ไขว้เขว

ตัวตนภายนอก (ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู) เป็นแค่ภาพฉายไปบน กาย-ใจ (สิ่งถูกรู้) ของตัวตนภายใน (สิ่งถูกรู้)

ซึ่งเป็นแค่การแสดงออกของตัวตนสูงสุด (avyakta) ซึ่งเป็นทุกสิ่งและไม่ใช่อะไรสักสิ่ง

ถาม  มีครูบางคนที่ไม่ยอมพูดถึงตัวตนที่สูงกว่า และตัวตนที่ต่ำกว่า

ครูเหล่านั้นพูดถึงมนุษย์เหมือนกับว่ามีเพียงตัวตนที่ต่ำกว่าเท่านั้น ที่มีอยู่

พระพุทธเจ้าและพระคริสต์ ก็ไม่พูดถึงตัวตนที่สูงกว่า กฤษณมูรติก็พยายามหลีกเลี่ยงคำนี้เช่นกัน

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ตอบ  ในหนึ่งรูปกายจะมีสองตัวตนได้อย่างไร

สภาวะ “ฉันเป็น” เป็นหนึ่งเดียว

ไม่มี “ฉันเป็นที่สูงกว่า” และ “ฉันเป็นที่ต่ำกว่า”

สภาวะทุกชนิดของใจแสดงออกสู่การตระหนักรู้ และมีการบ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสภาวะกับการตระหนักรู้

สิ่งถูกรู้ ไม่ใช่สิ่งที่มันดูเหมือนว่าเป็น และทัศนคติที่แสดงต่อมัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น

ถ้าเธฮคิดว่าพระพุทธเจ้า พระคริสต์ และกฤษณมูรติ พูดเพื่อให้อัตตาตัวตนฟัง เธอคิดผิด

ท่านเหล่านั้นทราบดีว่า ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู หรือตัวตนภายนอก เป็นแค่เงาของ สิ่งถูกรู้ หรือตัวตนภายใน

และท่านพูดถึงและสั่งสอนเฉพาะ สิ่งถูกรู้ เท่านั้น

ท่านทั้งหลายบอกผู้คนให้สนใจตัวตนภายนอก นำทางและช่วยเหลือมัน มีความรับผิดชอบต่อมัน หรือพูดสั้นๆ ให้ตระหนักรู้อย่างเต็มที่ต่อมัน

ความตระหนักรู้ มาจากสิ่งสูงสุด และแผ่ซ่านเข้าไปในตัวตนภายใน

สิ่งที่เรียกว่าตัวตนภายนอก เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการมีอยู่เป็นอยู่ของเรา ซึ่งเราไม่ได้ตระหนักถึงมัน

เราอาจมีความรู้ตัว เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนมีความรู้ตัว แต่เราไม่ตระหนักรู้

สิ่งที่รวมอยู่ในความตระหนักรู้กลายเป็นภายใน และเข้าร่วมกับภายใน

หรือเธออาจพูดว่า ร่างกายกำหนดตัวตนภายนอก ความรู้ตัวกำหนดตัวตนภายใน และการติดต่อกับสิ่งสูงสุด เกิดขึ้นในความตระหนักรู้ที่บริสุทธิ์

ถาม  ท่านพูดว่าร่างกายกำหนดตัวตนภายนอก

ท่านเองก็มีร่างกาย ดังนั้นท่านก็มีตัวตนภายนอกด้วยใช่ไหม

ตอบ  ฉันมี ถ้าฉันยึดติดกับร่างกายและคิดเอาว่ามันเป็นตัวฉัน

ถาม  แต่ท่านตระหนักถึงมันและดูแลความต้องการของมันหรือเปล่า

ตอบ  ถ้าจะว่าไปแล้ว มันเป็นไปในทางกลับกัน – ร่างกายรู้จักฉัน และตระหนักถึงความต้องการของฉัน

แต่แท้ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

ร่างกายนี้ปรากฏในใจของเธอเท่านั้น ในใจของฉันไม่มีอะไรที่มีอยู่เป็นอยู่


ถาม  ท่านหมายความว่า ท่านไม่ได้รู้ตัวว่ามีร่างกายอย่างนั้นใช่ไหม

ตอบ  ในทางตรงข้าม ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่มีร่างกาย

ถาม  ก็ผมเห็นท่านสูบบุหรี่อยู่

ตอบ  ใช่ เธอเห็นฉันสูบบุหรี่

จงค้นหาด้วยตัวเองว่าเธอเห็นฉันสูบบุหรี่ได้อย่างไร

และเธอจะตระหนักอย่างง่ายดายว่า สภาวะ “ฉันคือร่างกาย” ของใจเธอนั่นแหละที่ทำให้เกิดความคิดว่า “ฉันเห็นคุณสูบบุหรี่”

ถาม  ร่างกายมีอยู่ และตัวผมมีอยู่

ผมรู้จักร่างกาย ถ้าไม่ใช่ร่างกาย ผมคืออะไร

ตอบ  มันไม่มี “ฉัน” ที่แยกออกจากร่างกาย หรือจากโลก

ทั้งสามอย่างนี้เกิดขึ้นพร้อมกันและดับไปพร้อมกัน

รากของมันคือความรู้สึกว่า “ฉันเป็น”

จงไปให้เหนือความรู้สึกนี้

ความคิดว่า “ฉันไม่ใช่ร่างกาย” เป็นแค่อีกความคิดหนึ่งซึ่งตรงข้ามกับ “ฉันคือร่างกาย” ซึ่งผิด

“ฉันเป็น” คืออะไร

ถ้าเธอไม่รู้จักตัวเอง เธอจะรู้อะไรได้

ถาม  จากที่ท่านพูด ผมสรุปได้ว่า ถ้าไม่มีร่างกาย ก็จะไม่มีการปลดเปลื้องให้เป็นอิสระ

ถ้าความคิดว่า “ฉันไม่ใช่ร่างกาย” นำไปสู่การปลดปล่อยสู่อิสรภาพ

นั่นคือ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีร่างกาย

ตอบ  ใช่ ถ้าไม่มีร่างกาย ความคิดว่า “ฉันไม่ใช่ร่างกาย” จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

ความคิดว่า “ฉันเป็นอิสระ” นั้น ผิดมากเท่าๆกับความคิดว่า “ฉันยึดติด”

จงค้นหาว่า “ฉันเป็น” ในทั้งสองประโยคนั้นคืออะไร แล้วไปให้เหนือมัน

ถาม  ทั้งหมดมีอยู่ในความฝันเท่านั้น

ตอบ  ทั้งหมดเป็นแค่ถ้อยคำ มันจะมีประโยชน์อะไรต่อเธอกันเล่า

เธอนั้นพัวพันยุ่งเหยิงอยู่ในเส้นใยของคำจำกัดความศัพท์และกำหนดกฏเกณฑ์ต่างๆ

จงไปให้พ้นจากมโนทัศน์และความคิด

เธอจะพบความจริงในที่ซึ่งสงัดจากความต้องการและความคิด

ถาม  เราต้องจำที่จะไม่จำ เป็นภาระที่หนักหนาเหลือเกิน

ตอบ  แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำขึ้น มันต้องปรากฏขึ้นเอง

แต่มันจะปรากฏต่อเมื่อเธอได้เห็นอย่างจริงๆถึงความจำเป็นต้องมีมัน

ความมุ่งมั่น คือกุญแจทองของการเข้าถึงนี้

ถาม  ในก้นบึ้งใจของผม มีเสียงหึ่งๆดังอยู่ตลอดเวลา

ความคิดจำนวนมากมายมากันเป็นฝูง ล่องลอยฉวัดเฉวียนไปมา และกลุ่มเมฆความคิดที่ไร้รูปร่างนี้อยู่กับผมตลอดเวลา

ท่านเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือเปล่า อะไรที่อยู่ในก้นบึ้งใจท่านตลอดเวลา

ตอบ  ในที่ซึ่งไม่มีใจ ย่อมไม่มีก้นบึ้งของใจ

ฉันคือส่วนหน้าทั้งหมดของใจ ไม่มีก้นบึ้ง

ความว่างเปล่าพูด ความว่างเปล่าเหลืออยู่

ถาม  ไม่มีความทรงจำเหลืออยู่เลยหรือ

ตอบ  ไม่มีความรงจำของความเพลิดเพลินหรือความเจ็บปวดในอดีตหลงเหลืออยู่

แต่ละปัจจุบันขณะเกิดขึ้นอย่างสดใหม่


ถาม  ถ้าไม่มีความทรงจำ เราจะไม่สามารถมีความรู้ตัว

ตอบ  ฉันมีความรู้ตัวแน่นอน และตระหนักรู้อย่างเต็มที่ ฉันไม่ใช่ท่อนไม้นี่

ความรู้ตัวและเนื้อหาภายในเปรียบเหมือนเมฆ

ฉันมองไป เห็นเธออยู่ภายในเมฆ

เธอหลงทางอยู่ในนั้น แทบมองไม่เห็นปลายนิ้วของตัวเอง

ในขณะที่ฉันเห็นเมฆทุกก้อน และท้องฟ้าสีน้ำเงิน และดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว

ความจริงแท้เป็นหนึ่งเดียวสำหรับเราทั้งคู่

แต่สำหรับเธอ มันคือกรงขัง สำหรับฉัน มันคือบ้าน

ถาม  ท่านพูดถึงผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู สิ่งถูกรู้ (บุคคล) และที่ว่างซึ่งการเฝ้ารู้เฝ้าดูเกิดขึ้น (สิ่งสูงสุด)

อะไรเกิดก่อน

ตอบ  ภายในสิ่งสูงสุด ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูปรากฏขึ้น

ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูสร้างบุคคล และคิดว่าตัวมันเองนั้นแยกต่างหากจากสิ่งถูกรู้

ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูเห็นว่าบุคคลปรากฏขึ้นภายในความรู้ตัว ซึ่งปรากฏขึ้นในผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูอีกที

ความตระหนักของการรวมเป็นหนึ่งขั้นพื้นฐานนี้ เป็นการทำงานของสิ่งสูงสุด

มันคือพลังเบื้องหลังผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู เป็นแหล่งกำเนิดที่ทุกสรรพสิ่งหลั่งไหลออกมา

มันเป็นสิ่งที่แตะต้องสัมผัสไม่ได้ นอกเสียจากว่ามีเอกภาพและความรักเกิดขึ้นและมีความร่วมมือระหว่างบุคคลและผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู

การกระทำนี้ต้องสอดคล้องกลมกลืนกับการมีอยู่เป็นอยู่และการรู้

สิ่งสูงสุดเป็นทั้งแหล่งกำเนิดและผลของความสอดคล้องกลมกลืนดังกล่าว

ในขณะที่ฉันพูดกับเธอ

ฉันอยู่ในสภาวะปล่อยวางแต่ตระหนักรู้และเปี่ยมด้วยความรัก (turiya)

เมื่อความตระหนักรู้นี้หันมามองตัวเอง เธออาจเรียกมันว่า สภาวะสูงสุด (turiyatita)

แต่ความจริงแท้พื้นฐาน อยู่เหนือความตระหนักรู้ อยู่เหนือสถานะความมีอยู่เป็นอยู่ทั้งสามสถานะ ทั้งที่มีอยุ๋เป็นอยู่และไม่มีอยู่เป็นอยู่

ถาม  ในใจผม มักครุ่นคิดอยู่กับหัวข้อสูงๆ และพบว่ามันเป็นเรื่องง่ายและน่าเพลิดเพลินอย่างยิ่ง

เมื่อผมกลับบ้าน ผมกลับลืมทุกอย่างที่ผมได้เรียนรู้ที่นี่

ผมกังวลใจและไม่สบายใจ ไม่สามารถจำธรรมชาติเดิมแท้ของผมแม้ขณะเดียว

มันเกิดจากอะไร

ตอบ  มันเกิดขึ้นเพราะเธอได้ย้อนกลับไปสู่ความเป็นเด็ก

เธอยังไม่ได้เติบโตเต็มที่ ยังมีระดับต่างๆที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเพราะเธอไม่ได้ใส่ใจ

จงใส่ใจอย่างเต็มที่ภายในเธอว่ายังมีสิ่งหยาบและไม่ได้รับการขัดเกลา ไร้เหตุผลและไร้ความกรุณา ยังเป็นความรู้สึกแบบเด็กๆ อยู่หรือไม่ แล้วเธอจะสุกงอม

สิ่งสำคัญคือวุฒิภาวะของหัวใจและใจ

สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเอง เมื่ออุปสรรคสำคัญถูกกำจัดออกไป นั่นคือ – ความไม่ใส่ใจ ความไม่ตระหนักรู้

เธฮจะเติบโตได้ภายในความตระหนักรู้เท่านั้น

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

หมายเลขบันทึก: 660605เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2019 18:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม 2019 18:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท