ส่งสการตานคาบประเพณีด้านความตายของชาวล้านนา


ความหมาย คำว่าส่งสการ

เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า “ส่งสักการะ” ในพจนานุกรมฉบับแม่ฟ้าหลวงเล่มที่ ๒ ได้ให้ความหมายของคำว่า ส่งสการ ไว้ดังนี้

ส่งฯ=ส่ง ทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเคลื่อนพ้นจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อให้ถึงผู้รับ หรือหมายด้วยอาการต่าง ๆ กัน ก.๒ เสีย,ให้ เช่น การบวงสรวง,มอบให้ มอบให้ตามพิธีกรรม

ส่งฯสการฯ=พิธีกรรมเกี่ยวกับการปลงศพ

การส่งสการนั้นเป็นคำที่มีมาแต่โบราณปรากฏในตำนานอยู่หลายแห่งได้กล่าวถึงคำว่า ส่งสการ ปัจจุบันบางแห่งก็ยังใช้อยู่บ้างถึงแม้ว่าจะมีคำอื่น ๆ มาแทน ทำไมต้องใช้คำว่าส่งสการหากดูตามพจนานุกรมได้อธิบายมาก็น่าจะเป็นไปตามนั้นคือ เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้ที่ตายไปโดยจัดเครื่องสักการให้สมฐานะแก่ผู้ตายนั้น ๆ ปราสาทชนิดต่าง ๆ ก็ดี สัตว์หิมพานต์ก็ดี ดอกไม้จันก็ดี และเครื่องไทยทานต่าง ๆ ก็ดีล้วนอยู่ในคำว่า เครื่องสักการทั้งสิ้น เครื่องสักการะนี้จะมอบให้โดยตรงก็ได้หรือมอบผ่านทางตัวแทนก็ได้เช่น พระสงฆ์-สามเณร เป็นต้น และยังมีคำที่ควบคู่กับคำว่า ส่งสการก็คือ ตานคาบ ตานคาบหมายถึงการทำบุญแก่ผู้ตายในขณะที่มีศพตั้งอยู่ในบ้านหรือสถานที่ใด เมื่อเอาคำสองพยางค์มารวมกันก็จะเป็นคำว่า ส่งสการตานคาบ ปัจจุบันคำว่า ส่งสการ นั้นมิได้ค่อยได้ใช้กันนักแต่ก็มีคำอื่นมาแทนเช่นคำว่า ปลงศพ,เสียศพ, เผาศพ

                                                               การจัดศพ

                ลักษณะการจัดศพให้แก่คนตายนั้น ด้วยความเชื่อที่มีของคนล้านนาที่มีมาแต่ดั่งเดิมในความเชื่อเรื่องผีไม่ว่าจะเป็นผีบรรพบุรุษเช่นผีปู่ย่า ผีบ้านผีเรือน ผีเสื้อบ้านเสื้อเมือง ผีเสื้อวัด แม้แต่ผีที่อยู่ตามไร่นาป่าเขาและต้นไม้ใหญ่ เป็นต้นซึ่งบรรดาผีเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนล้านนาให้ความเชื่อและนับถือมาก่อนที่จะได้รับเอาพระพุทธศาสนา เมื่อหันมานับถือพระพุทธศาสนา คนล้านนาก็ได้ยกระดับความเชื่อเดิมให้สูงขึ้นซึ่งพุทธศาสนาเองก็มิได้ขัดขวางหรือรังเกียจบางทีก็ให้การ

หน้า4

สนับสนุนเสียด้วยซ้ำโดยยกผีเหล่านั้นให้เป็นเทวดาในพระพุทธศาสนามีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา รักษาบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขโดยมีพระสงฆ์เป็นตัวกลางในการเชื่อมประสาน เพราะคนล้านนามีพื้นฐานความเชื่อมาจากผี ดังที่อภิธาน สมใจได้กล่าวไว้ในหนังสืองานศพล้านนาปราสาทนกหัสดีลิงค์สู่ไม้ศพว่า ...โลกทัศน์เบื้องหลัง พิธีกรรมเพื่อคนตายของชาวล้านนา จึงมีอยู่สองแนวคิดหรือสองกระแสด้วยกันคือ

๑. โลกทัศน์ในวัฒนธรรมพื้นบ้านดั้งเดิมว่าด้วย ชีวิตมนุษย์ในโลกนี้กับชีวิตผีวิญญาณอื่นทีซ่อนอยู่ในโลกนี้อันเป็นวัฒนธรรมชาวบ้านสามัญชน

๒. โลกทัศน์ในวัฒนธรรมของชนชั้นผู้นำว่าด้วย จักวาลวิทยาในพุทธรรมหรือไตรภูมิวิทยา อันเป็นวัฒนธรรมนำเข้าโดยพระสงฆ์และชนชั้นผู้ปกครองหรือที่เรียกว่า วัฒนธรรมหลวง

การจัดพิธีกรรมให้กับผู้เสียชีวิตนั้นจะมีความเชื่ออยู่ ๒ อย่างที่ผสมผสานกันอยู่นั่นคือ ความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญาณ คาถาอาคมต่าง ๆ เพื่อป้องกันวิญญาณของคนตายมารังควาน ส่วนอีกความเชื่อนั่นคือความเชื่อในพุทธศาสนาที่กล่าวถึงการสร้างคุณความดีเพื่อให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีและการอุทิศสิ่งของไปหาผู้ตาย ความเชื่อทั้ง ๒ กระแสได้ก่อให้เกิดการผสมผสานกันกลายเป็นวัฒนธรรมและจารีตที่ยึดถือปฏิบัติกันต่อ ๆ มา มิใช่เท่านั้นการสิ้นชีวิตของบุคคลผู้หนึ่งยังเป็นการแสดงออกถึงสถานะภาพและความสำคัญของของผู้ที่เสียชีวิตและความสำคัญของบุคคลผู้ที่สิ้นชีวิตไปและบรรดาญาติ ๆ ในล้านนามีผู้คนอยู่กันมากมายหลายกลุ่มแต่ละกลุ่มก็ยังมีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปมีการถึงอย่างนั้นก็ตามก็หาใช่เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกันเพราะคนล้านนานั้นมีสิ่งที่เชื่ออย่างดียวกันนั่นคือระบบความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ และหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่ซึมซาบเข้าไปทุกกิจกรรมอย่างของคนล้านนาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย มิใช่แต่เพียงเท่านั้นยังได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของคนเอาว่าคนกลุ่มใดมีหน้าเช่นใด ควรปฏิบัติอย่างไร เป็นต้น

                                                                      การจัดศพตามชนชั้น

และหากจะกล่าวถึงชนชั้นในล้านนาก็อาจจะแบ่งออกได้เป็น ๓ กลุ่มคร่าว ๆ ดังนี้

๑.กลุ่มชนชั้นปกครอง อันได้แก่พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์และบรรดาขุนนางเป็นต้น กลุ่มนี้มีหน้าที่ปกป้องรักษาบ้านเมืองให้พ้นจากข้าศึกศัตรูมารุกราน บริหารบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ทำนุบำรุงศาสนา

หน้า5

๒.กลุ่มชนชั้นผู้ถูกปกครอง อันได้แก่ ประชาชนโดยทั่วไป ต้องปฏิบัติตามระบบแบบแผนที่ทางชนชั้นปกครอง ประพฤติตนอยู่ในกรอบของพุทธศาสนา

๓.กลุ่มพระสงฆ์ ผู้ที่ทำหน้าที่เผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา

หากว่ามีบุคคลใดในกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหากษัตริย์พระราชวงศ์สิ้นพระชนม์ลงหรือแม้แต่พระสงฆ์ถึงแก่มรณภาพไปก็จะมีการจัดศพให้ยิ่งใหญ่กว่าบุคคลธรรมดาสามัญทั้งนี้เพื่อเป็นการยืนยันว่าบุคคลนั้นเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้วก็จะกลับไปสู่ภพภูมิที่มาหรือไปบังเกิดในภูมิที่สูงกว่า เพราะถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีบุญญาธิการ ยิ่งกว่าสามัญชนโดยทั่วไปเกิดมาเพื่อสร้างบารมี ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำปราสาทขึ้นโดยอิงอาศัยคติของจักวาลทางพระพุทธศาสนาโดยถือว่าพระมหากษัตริย์นั้นเป็นผู้ที่ถือกำเนิดมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นเทวดาที่สถิตอยู่ ณ เหนือยอดเขาพระสุเมรุ ลงมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อสร้างสมบุญบารมีให้ยิ่งขึ้นไป เมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็จะกลับไปอยู่ ณ สถานที่เดิม เพื่อเป็นการแสดงให้ถึงสัญลักษณ์เช่นว่านั้นจึงมีการสร้างปราสาท พร้อมทั้งจำลองจักรวาลตามคติพุทธศาสนาให้บรรดาชนเหล่าอื่นได้เห็นและรับรู้ถึงสถานะภาพนั้นและแสดงสิทธิอันชอบธรรมในการที่จะปกครองบ้านเมืองของเชื้อพระวงศ์องค์ต่อไปเพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งของเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ที่มาช่วยมนุษย์ทั้งมวลให้ได้รับความสุขพ้นจากความทุกข์ ส่วนพระสงฆ์นั้นถึงแม้ว่าจะมิใช่เชื้อพระวงศ์ก็ตามแต่ก็เป็นผู้ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบสืบทอดพระศาสนาอีกทั้งเป็นผู้ที่ชนทุกชั้นให้ความเคารพ เมื่อยังไม่สิ้นกิเลสหลังจากมรณภาพไปก็จะไปบังเกิดในภูมิที่สูงกว่าสวรรค์หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ไปเกิดเป็นพรหมในรูปแบบต่าง ๆ สำหรับชาวบ้านทั่ว ๆ ไปก็ถือคติว่าเมื่อประพฤติดีตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้วสุดท้ายเมื่อสิ้นชีวิตไปก็จะได้เสวยสุขในสวรรค์เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะได้เกิดในตระกูลของคนมีศีลธรรมมีทรัพย์สินเงินทอง

#ที่มาของข้อมูลจากท่านประธานจิรกาล สุพรรณรัตน์ ชมรมส่งสการดอทคอม(มีตอนที่2ติดตามชมต่อไป)

หมายเลขบันทึก: 660167เขียนเมื่อ 1 มีนาคม 2019 21:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 มีนาคม 2019 21:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท