บางครั้งกับการทำงาน ที่ผ่านร้อผ่านหนาวมาหลายปี และมาจากความหลายอาชีพ บวกกับประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาในสถาบันศึกษา การแลกเปลี่ยนประสบการกับเพื่อนกลุ่มองค์กรเอกชน เพื่อนกลุ่มธุรกิจในหลากรูปแบบ ทำให้การเห็นปัญหาในสิ่งที่จะทำให้การทำงานไม่ประสบความสำเร็จนั้น ก็ไม่สามารถนำออกมาพูดได้ ทั้งที่ ถ้าผู้ที่มีอำนาจนั้นรับฟังและพิจารณาเสียบ้าง โดยไม่คิดว่าความคิดเห็นเหล่านั้นจะมาจากผู้ที่อายุอ่อนกว่า จะมาจากผู้ที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าแล้ว ก็จะทำให้ป้ญหาเหล่านั้นสามารถคลี่คลายไปได้ด้วยดี หรือสามารถแก้ไขปัญหาให้ลดระดับความรุนแรง และมีความราบรื่นที่จะดำเนินงานนั้นให้สำเร็จมากขึ้นในระดับหนึ่ง ทำให้เข้าใจในคำพูดที่หลายคนได้เคยเอ่ยมาว่า " การเห็นมาอย่างไร พูดไปอย่างนั้น กับเป็นอันตรายต่อผู้พูด เป็นอันตรายต่อผู้แสดงความคิดเห็น " ทั้งที่มีเหตุและผลประกอบกัน นับว่าเป็นความยากยิ่งในการที่จะทำให้ปัญหานั้นลดระดับลง เพราะบางครั้งผู้รับฟังมิใช่เป็นผู้ทำงาน แต่ผู้แสดงความคิดเห็นเป็นผู้ที่ทำงานและพบกับเรื่องราวมามากมายหลากหลาย รวมถึงรับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหมู่กลุ่มคนทำงานด้วยกันมาตลอด เป็นแต่เพียงว่า.....ผู้นำเสนอข้อคิดเห็นนั้นมีฐานะเป็นผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ไม่ว่าองค์กรใด ๆ ก็ตาม หากความคิดเห็นนั้นยังไม่สามารถที่จะนำมาซึ่งยังประโยชน์ได้อย่างแท้จริงแล้ว องค์กรเหล่านั้นก็เท่ากับยังวนเวียนอยู่ในความคิดเดิม ๆ อาจจะก้าวหน้าเพิ่มเติมได้ก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถ้าหากความกล้าหาญในด้านความคิดกับทำให้ชีวิตเกิดปัญหาอุปสรรค์แล้วก็ย่อมทำให้ผู้ที่ผ่านพบมาล้มเลิกที่คิดจะพัฒนาองค์ความรู้ประสบการณ์ในที่สุด สุดท้ายความคิดเห็นก็จะกลายเป็นความคิดที่ตายแล้วจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่
ในการทำงานนั้น แม้ว่าจะพบกับหลากหลายปัญหาอุปสรรคก็ตาม แต่ผู้ที่กล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำ กล้าที่จะแก้ไขเพื่อให้ปัญหาและอุปสรรคเหล่านั้นให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี เพื่อให้เกิดซึ่งสิ่งที่ถูกต้องและพัฒนางานของตนให้ไปสู่ความสำเร็จ ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม ก็ย่อมต้องหาจังหวะและโอกาสอันเหมาะสมในการที่จะเสนอแนะความคิดเห็นของตนเอง ให้กับผู้ที่เห็นประโยชน์ และหลีกเลี่ยงในการที่จะเสนอแนะกับผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ในการทำงาน แต่จะพยายามผลักดันให้ผู้ที่มีอิทธิพลเหนือกว่าเข้าไปเสนอแนะแทน แม้ว่าความคิดนั้นจะเป็นของตนเองก็ตาม เปรียบเหมือนปิดทองหลังพระ แต่ก็ทำให้สุขใจ
ในหลากหลายองค์กรก็ย่อมเกิดปัญหาเช่นนี้อย่างเดียวกัน อยู่ที่ว่าองค์กรเหล่านั้นจะประกอบไปด้วยบุคคลประเภทไหน มีคุณธรรมหรือไม่ และต้องการเห็นความก้าวหน้าขององค์กรนั้นหรือไม่
ดังนั้น "เห็นมาอย่างไร พูดไปอย่างนั้น เป็นอันตรายหรือเปล่า" จึงต้องอาศัย จังหวะและโอกาส รวมถึงสภาพแวดล้อมมาเป็นองค์ประกอบด้วย เพราะ การเห็นมาอย่างไร พูดไปอย่างนั้น จะใช้ไม่ได้กับระดับสูงที่ไม่มีใจเปิดกว้างพอ และใช้ไม่ได้กับองค์กรที่มีการเล่นพรรคเล่นพวกซึ่งไม่คำนึงถึงความรุ้ ความสามารถ หรือประสบการณ์ของผู้อื่นที่สั่งสมเป็นระยะยาวนานกับงานนั้น ๆ บางองค์กรจึงถึงขั้นที่ว่า ภูมิปัญญาของการทำงานใช้ไม่ได้กับองค์กรนั้นเลย
เคยมีคนพูดเปรย ๆ ไว้ว่า " สังคมแห่งนี้ดี แต่น่าเสียดายที่ไม่ให้คนเก่ง คนมีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ ได้ขึ้นมา แต่กลับเล่นพรรคพวกเสียจนทำให้องค์กรนั้นเสียหาย เหมือนต้นไม้ที่เติบใหญ่แต่มีปลวกอยู่ภายในเช่นนั้นเอง"
จึงอยากฝากสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นข้อคิด แง่คิด และรวมกันแสดงความคิดเห็น เพื่อจะทำให้มุมมองของสังคมนั้นกว้างขึ้น มีความยุติธรรม และพร้อมกันสร้างสรรเพื่อให้สังคมไทยเติบโตไปได้