ชีวิตคนทำงานกลางทะเล (Offshore @ Gulf of Thailand) ตอนที่ 24 เมื่อฉันตั้งท้อง!!! ต้องจบชีวิตการทำงานกลางทะเล (Offshore) หรือไม่?


ห่างหายไปจากบล็อกนานสองปีกว่าๆจากบันทึกล่าสุดตอนที่ 23 ตั้งใจจะเขียนตอนที่ 24 ในเวลาไม่ห่างกันมากนัก แต่ก็มีเหตุให้ต้องหยุดการเขียนไป จริงๆ เวลาว่างก็มี แต่ไม่มีแรงบันดาลใจ (อารมณ์ศิลปินว่างั้น ฮ่าๆๆ)

ตอนนี้ตอนที่ 24 ครบสองโหลพอดี ใช้เวลาในการเขียนตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนปัจจุบันยาวนานถึง 11 ปีทีเดียว นานมากเลย มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าค่ะ ที่หายไปเพราะฉันตั้งท้อง!!! และนี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมัยก่อนโน้นถึงไม่รับผู้หญิงเข้าทำงานออฟชอร์ เพราะการท้องเป็นอุปสรรคต่อการทำงานนั่นเอง แต่สมัยนี้เปิดกว้างมากขึ้น รับผู้หญิงเข้าทำงานออฟชอร์มากขึ้น แต่ผู้หญิงที่ทำงานกลางทะเลก็ยังคงมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์อยู่ดี (คำนวณเอาคร่าวๆ จากจำนวนผู้หญิงที่ทำงานต่อจำนวนพนักงานทั้งหมดจากเรือขุดเจาะ 1 ลำ)

ย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ฉันยังจำวันที่ไปเซ็นสัญญาจ้างงานได้ดี พนักงานฝ่ายบุคคลพูดว่าในใบสัญญาจ้างงานไม่ได้ระบุนะว่าถ้าตั้งท้องต้องออกจากงาน แต่เป็นอันรู้กันว่าถ้าท้องคือจบชีวิตการทำงานออฟชอร์ทันที และฉันก็จำมาตลอดว่าถ้าท้องคือจบการทำงานออฟชอร์แต่เพียงเท่านี้ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ฉันยื้อเวลา กว่าจะตัดสินใจมีลูกก็เมื่อตอนอายุ 30 ปลายๆ แล้ว (ปัจจุบันฝ่ายบุคคลเปลี่ยนทีมบริหารแล้ว  นโยบายการลาคลอดก็มีแล้ว)

ส่วนมากผู้หญิงที่ทำงานออฟชอร์ที่ฉันรู้จักจะมีแบบโสดไม่มีแฟน (แต่อยากจะมี ฮ่าๆๆๆ) มีสามีแต่ยังไม่ท้อง เป็นคุณแม่ที่แบบไม่ต้องการตั้งท้องอีกแล้ว ในส่วนเคสที่ตั้งท้องระหว่างทำงานนั้นฉันเป็นเคสที่สองของบริษัท (ในประเทศไทย) และอาจมีอีกหลายเคสตามมา

เมื่อเกือบสี่ปีที่แล้วฉันได้แต่งงาน หลังจากแต่งงานเจ้านายทั้งสามคน (เจ้านายใหญ่หนึ่งคน เจ้านายในทะเลอีกสองคน ก็เฝ้าเพียรถามฉันตลอดว่าเมื่อไหร่จะตั้งท้อง ฉันก็ตอบกลับไปทุกทีว่ายังไม่รู้ เพราะเพื่อนเคยคุยให้ฟังว่าการจะตั้งท้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ บางคนใช้เวลาหลายปีถึงจะท้อง ฉันก็คิดว่าตัวเองก็คงเป็นหนึ่งในนั้น เพราะอายุก็มากแล้วด้วย แล้วไหนจะเรื่องถ้าท้องแล้วมีผลกับงานอีก การวางแผนเรื่องตั้งครรภ์จึงได้ยืดเยื้อมาเรื่อยๆ

จนมีอยู่วันหนึ่ง เจ้านายถามฉันว่า ถ้าฉันตั้งท้องแล้ว อยากจะทำงานออฟชอร์อีกหรือไม่? ฉันก็ตอบกลับไปทันทีว่าอยากจะทำ เจ้านายเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวฉันจะคุยกับนายใหญ่ให้เอง วันนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ฉันวางแผนที่จะตั้งท้อง

ภาพนี้ถ่ายไว้รอบสุดท้ายที่เรือก่อนที่จะหยุดงานออฟชอร์ไปเลย 1 ปีเต็มๆ

สิงหาคม พ.ศ. 2559 ช่วงที่ฉันพักอยู่ ฉันรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ก่อนที่จะกลับลงทำงานออฟชอร์อีก 1 อาทิตย์ข้างหน้า ตอนแรกฉันตั้งใจจะกลับลงไปทำงานก่อน แล้วค่อยปรึกษากับเจ้านายในทะเลว่าจะจัดการอย่างไรดี แต่อีกใจก็กลัวว่าเกิดลงไปแล้วมีเหตุฉุกเฉินเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก มีปัญหากับการทำงานอีก เลยตัดสินใจส่งข้อความไปหาเจ้านาย บอกว่าฉันท้องนะ จะทำอย่างไรดี เจ้านายก็พูดออกมาคำแรกเลยว่า Congratulations ยินดีด้วยนะ ดีใจกับเธอจริงๆ เรื่องงานไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะคุยกับเจ้านายใหญ่ให้เอง

ฉันเลยต้องหยุดงานไปก่อน ตอนนั้นยอมรับว่าเครียด เริ่มสงสารลูกในครรภ์ แม่เครียด เจ้านายก็โทรมาคุยบอกว่าเธอหยุดงานไปก่อนนะ ฉันทำเรื่องให้แล้วได้เงินเดือนปกติ เดี๋ยวขอคุยกับบริษัทก่อนจะว่าทำอย่างไร ตอนนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย ซักพักเจ้านายในทะเลก็ส่งข้อความมาบอกว่ามีข่าวดีล่ะ ฉันว่าเธอต้องดีใจแน่เลย แต่รอให้เจ้านายใหญ่บอกเธอเองดีกว่านะ แล้วก็หายไป มาให้อยากแล้วจากไป ฉันก็ไม่รู้จะดีใจหรือเครียดต่อดี ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนเจ้านายใหญ่ถึงโทรมาบอกว่า เดี๋ยวจะให้เธอไปทำงานที่ฝั่งก่อนนะช่วงที่ท้อง  เพราะบริษัทเชฟรอนไม่อนุญาตให้คนท้องลงทำงานกลางทะเล ฉันจึงได้ไปนั่งทำงานที่ฝั่ง ณ บัดนั้น ที่ทำงานใหม่เป็นแวร์เฮ้าส์รับของส่งของให้ออฟชอร์ เป็นสายงานที่ต่อเนื่องจากงานของฉันอยู่แล้ว น้องๆ ก็ดีเหลือเกินไม่ให้ฉันหยิบแตะอะไรที่หนักๆ เลย แทบจะอุ้มขึ้นรถ

ทำงานกับน้องๆที่แวร์เฮ้าส์บนฝั่ง

ในช่วงที่ทำงานอยู่ที่แวร์เฮ้าส์บนฝั่งก็มีความสุขไปอีกแบบ ได้กินของอร่อยๆ ที่อยากกิน เป็นช่วงที่ตระเวนกินโน้นนี่นั่น ซึ่งไม่สามารถทำได้เมื่อทำงานออฟชอร์ ช่วงเวลานั้นก็มีการคุยกันกับเจ้านายว่าหลังคลอดจะขอกลับไปทำงานออฟชอร์อีก เจ้านายก็ตกลง และรับปากว่าจะเก็บตำแหน่งเดิมไว้ให้ ฉันทำงานอยู่ที่แวร์เฮ้าส์บนฝั่งได้ประมาณ 7 เดือนก็ลาคลอดต่ออีกสามเดือนนิดๆ

สาวน้อยคนนี้ค่ะลูกคนแรก

ช่วงที่ลาคลอด เจ้านายก็เมลมาถามว่า เธอยังจะกลับไปทำงานออฟชอร์อีกมั๊ย ฉันกลัวว่าเธอจะไม่กลับแล้ว เพราะคงอยากจะเลี้ยงลูก ใช่ค่ะฉันอยากจะเลี้ยงลูก แต่ว่าลูกก็ต้องใช้เงินเพื่อทำอย่างอื่นด้วย ฉันก็ตอบกลับเจ้านายทันทีว่า กลับซิ ตราบใดที่ต้องเลี้ยงลูก ฉันก็ต้องหาเงิน กลับไปทำงานแน่นอน

ฉันโชคดีที่ได้เจอเจ้านายดีๆ คอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ ฉันซึ้งใจมาก และก็ขอขอบพระคุณจากใจถึงเจ้านายทั้งสามคนของฉันด้วย

ลูกกำลังน่ารัก ครบ 3 เดือนลาคลอดแล้ว แม่ต้องกลับไปทำงานแล้ว

ครบ 3 เดือนลาคลอด ฉันกลับไปทำงานออฟชอร์ จำได้ว่าวันแรกที่เดินทางจากจังหวัดสงขลาไปจังหวัดนครศรีธรรมราช (สนามบินอยู่ที่นี่) นั่งรถ 3 ชม. ฉันร้องไห้ตลอดทาง เพราะคิดถึงลูกมาก พอลงทำงานออฟชอร์ก็วุ่นวายกับการทำงาน ซึ่งฉันหยุดทำงานออฟชอร์ไป 1 ปีเต็ม เลยต้องรื้อฟื้น ค้นหาข้อมูลกันเยอะหน่อย 

และงานอีกอย่างที่ฉันต้องทำควบคู่ไปด้วยคือการปั้มนมเพื่อส่งกลับไปให้ลูกน้อย อย่างที่เคยบอกไปในบันทึกก่อนๆว่าที่นี่ต้องทำงาน 12 ชม. ต่อวันทุกตำแหน่ง งานของฉันเริ่มตั้งแต่ 06.00 – 18.00 น. ฉันต้องตื่นตี 5 เพื่อมาอาบน้ำ ปั้มนมรอบที่ 1 ให้เสร็จก่อนทำงาน 6 โมงเช้า พอ 9.00 น. พักเบรก ฉันไม่ได้เบรกก็เอาที่ปั้มนมมานั่งปั้มในออฟฟิศรอบที่ 2 (ซื้อที่ปั้มนมแบบแฮนด์ฟรี) บางครั้งคนมาเบิกของที่แวร์เฮ้าส์มาเห็นก็สงสัยว่าทำอะไร พอรู้ว่าปั้มนมอยู่ต่างคนก็ต่างอาย ฮ่าๆๆๆ (ยังจำได้ดี) พักเที่ยง ต้องรีบกินข้าวเที่ยง เพื่อไปปั้มนมรอบที่ 3 บ่ายโมงกลับมาทำงาน พอบ่าย 3 พักเบรกก็เหมือนเดิมปั้มนมในออฟฟิศรอบที่ 4 ปั้มไปทำงานไปด้วย เพื่อไม่ให้เสียเวลางาน พอ 6 โมงเย็นเลิกงานก็รีบไปกินข้าว แล้วก็ปั้มนมรอบที่ 5 อาบน้ำดูทีวีแล้วก็ปั้มนมรอบที่ 6 รอบสุดท้ายของวัน บางทีด้วยความง่วงก็มีแบบปั้มนมไปหลับไป ตื่นขึ้นเลยเที่ยงคืนแล้วก็มี

ซื้อที่ปั้มนมแบบแฮนด์ฟรีมาใช้ สามารถปั้มนมไปทำงานไปได้แบบไม่โป๊

ฉันปั้มนมให้ลูกได้ 3 รอบทำงาน (รวมๆประมาณ 6 เดือน รวมเวลาพัก) แต่รอบทำงานหลังๆ ต้องลดรอบปั้มนมลงเพราะงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลา คราวนี้มาดูวิธีเก็บนมและส่งนมของคนทำงานออฟชอร์กันค่ะว่าทำอย่างไร ฉันยืมตู้เย็นเล็กๆ จากออฟฟิศที่ทำงานเอาไปใช้ในห้องนอน นมที่ปั้มในรอบ 1 วันก็จะเก็บไว้ในช่องฟรีซตู้เย็นในห้องนอน พอตอนเย็นก็จะเอานมทั้งหมดไปฝากเก็บไว้ในห้องฟรีซที่ครัว (-18 องศา ห้องใหญ่มากขนาดเท่าห้องนอนคน) ฉันต้องขอขอบพระคุณแคมบอสมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะที่เอื้อเฟื้อและจัดที่ไว้ให้สำหรับเก็บนมโดยไม่ปนเปื้อนกับอาหาร พอครบ 1 อาทิตย์ ฉันก็จะส่งนมกลับฝั่งไปกับเฮลิคอปเตอร์รับส่งพนักงาน วันส่งนมฉันก็จะต้องตื่นมาแต่เช้าตรู่มาปั้มนม แล้วรีบไปแพ็คนมใส่ลังโฟม อัดน้ำแข็ง ใส่เกลือ เพื่อให้ความเย็นอยู่ได้นาน แล้วก็ฝากไปกับพนักงานที่กลับบ้าน

จากเรือขุดเจาะกลางทะเลส่งไปกับเฮลิคอปเตอร์ 1 ชม. ถึงฝั่ง จากฝั่งฝากไปกับรถรับส่งพนักงานจากจังหวัดนครศรีธรรมราชไปจังหวัดสงขลาใช้เวลาเดินทางอีก 3 ชม. บางครั้งก็ฝากไปเก็บไว้ที่แวร์เฮ้าส์บนฝั่ง แล้วให้สามีไปรับ บางครั้งก็ฝากไปกับพนักงานแล้วสามีไปรับกลางทาง บางทีก็มีพนักงานใจดีจัดส่งให้ถึงบ้าน ซึ้งใจมากกับความใจดีของเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ พนักงานทุกคนกับการช่วยเหลือในครั้งนั้น ทำให้การส่งนมให้ลูกผ่านไปได้ด้วยดีถึงหลาย 10 ครั้ง

หลังจากคลอดลูกจนถึง ณ ตอนนี้ฉันก็กลับมาทำงานออฟชอร์ได้ปีกว่าๆ แล้วค่ะ ภารกิจปั้มนมส่งนมก็เลิกไปนานแล้ว ช่วงทำงาน 28 วัน ก็มีเวลาทำงานเต็มที่ ได้นอนพักผ่อนเต็มที่ ช่วงหยุด 28 วันก็มีเวลาเลี้ยงลูกเต็มที่ หลายคนตั้งคำถามกับฉันว่าทำไมมีลูกแล้วยังกลับมาทำงานออฟชอร์อยู่ ทำไมไม่หางานบนฝั่งทำ คำตอบของฉันคือฉันยังรักงานออฟชอร์อยู่ค่ะ รักที่ได้หยุดนานๆ โดยที่ไม่ต้องกังวลกับงาน ฉันมีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีหัวหน้าที่น่ารัก และฉันได้ฝากลูกไว้กับคุณปู่คุณย่าซึ่งเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด ไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องลูก ทุกอย่างลงตัว ฉันก็เลยยังคงทำงานนี้อยู่ จนกว่าวันนั้นจะมาถึง วันที่บริษัทหมดสัญญา ก็ลุ้นกันต่อไปค่ะว่าเราจะได้ไปต่อหรือจะอย่างไร.......

ขอบคุณเครดิตภาพสามภาพนี้จากเมดิกท่านหนึ่ง (เมดิกบ๊อบ) ที่เคยมาทำงานที่ T-15 ค่ะ

บ๊าย บาย เจอกันใหม่ฉบับหน้าค่ะ

หมายเลขบันทึก: 659076เขียนเมื่อ 2 มกราคม 2019 19:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 มกราคม 2019 19:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ลูกสาวน่ารักมากๆ ค่ะ ขอจุ๊บ 1 ที

เขียนได้ดีมาก ลูกสาวน่ารักมากเลยค่ะ

ขอบคุณคุณแม่มด และคุณแก้ว..อุบล จ๋วงพานิช ค่ะ

น่ารักมาก ๆ ค่ะ คุณน้องอันนา … คุณแม่เก่งมาก ๆ นะคะ จัดการทุกสิ่งได้ดีมาก ๆ พร้อมทีมสนับสนุนทั้งที่ทำงานและครอบครัว

อ่านเพลินเลยค่ะ​ ลุ้นไปด้วยว่าจะได้ทำงานต่อหรือเปล่า​ น้องอันนาน่ารักมากค่ะ​ คุณแม่ก็ีความพยายามมากเช่นกันค่ะที่จะให้น้องทานนมแม่

ผมกำลังไปฝึกงานเป็นJr camp boss ขอบคุณพี่มากสำหรับความรู้ต่างๆ ที่เขียนไว้ในบล็อคนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท